กลุ่ม First Jobber รวมถึงคนที่ทำงานมาไม่ถึง 10 ปี ในตอนนี้มีมากขึ้น และเริ่มหาที่พักอาศัยเป็นของตัวเอง แต่ด้วยกลุ่มนี้ค่อนข้างติดชีวิตเมือง ดังนั้นเป้าหมายคงมุ่งไปที่คอนโดมีเนียม แล้วยักษ์อสังหาริมทรัพย์แนวราบอย่าง สัมมากร จะเจอวิกฤติหรือไม่
อยู่กับสิ่งที่เป็น บู๊กับตลาดคงไม่ใช่แนว
กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผุ้จัดการ บมจ.สัมมากร ย้ำว่า การอยู่กับสิ่งที่บริษัทเชี่ยวชาญ หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัท นอกจากนี้ชื่อเสียงเกี่ยวกับบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ก็ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องเมื่อผู้บริโภคต้องการซื้อบ้านซักหลังหนึ่ง แต่ไม่ใช่บริษัทจะไม่เข้าไปรุกตลาดอื่น เพราะต้องการสร้างแหล่งรายได้ให้หลากหลาย เพียงเพื่อมาเติมเต็มในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา
“สัมมากรค่อนข้างมีชื่อในเรื่องอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เราอาจจะไม่หวือหวาฟู่ฟ่า และก็ไม่ได้เน้นราคา Mass เหมือนรายอื่นในตลาด แต่เรามีความมั่นคง และวัสดุต่างๆ ที่ใช้ทำให้ทุกคนรู้ว่าเราใช้ของดี ไม่เช่นนั้นระดับพ่อแม่ของคนที่จะซื้อบ้านในตอนนี้ ส่วนใหญ่น่าจะบอกลูกให้ซื้อกับสัมมากร แต่ด้วยกระแสตลาด ทำให้เราเริ่มขยายไปที่คอนโดมีเนียม และธุรกิจห้างสรรพสินค้า เพื่อหารายได้จากการให้เช่าพื้นที่ด้วย”
คอนโดต้องคิดใหม่ พร้อมปรับกระบวนท่าค้าปลีก
ทั้งนี้คอนโดมีเนียมโครงการ S9 Condominium บริเวณถนนรัตนาธิเบศ ตัดกับถนนราชพฤกษ์ ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีบางรักใหญ่ 100 ม. ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท โอนกรรมสิทธิ์แล้ว 50% จากห้องทั้งหมด ปัจจุบันยอดขายเริ่มนิ่ง จากเดิมที่ขายเดือนละ 22 – 24 ห้อง เพราะรถไฟฟ้าสายสีม่วงเชื่อมต่อกับสายหลัก ดังนั้นการสร้างคอนโดมีเนียมหลังจากนี้จะพิจารณาจาก Location ที่ขายตัวเองได้ หนึ่งในนั้นคือสายสีเขียว ทั้งกำลังสร้างอยู่ (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) และสร้างเสร็จแล้ว
ขณะเดียวกันธุรกิจห้างค้าปลีกภายใต้แบรนด์ สัมมากร เพรส ก็จะรุกตลาดมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน โดยตอนนี้ได้ทำการซื้อหุ้นจากบมจ.อาร์พีซีจี ที่เป็นบริษัทใหญ่ถือหุ้นทั้งบมจ.สัมมากร และบริษัท เพียวสัมมากร ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือบริษัทที่บริหารธุรกิจ สัมมากร เพรส เพื่อทำให้รูปแบบการถือหุ้นกลับมาอยู่ที่บมจ.สัมมากร และสามารถทำตลาดเพื่อหาค่าเช่าพื้นที่ได้เต็มรูปแบบ
หมดช่วงรถคันแรกไม่ช่วยอะไร
“ผมว่าที่ตลาดอสังหาฯ ช่วงนี้นิ่งๆ เพราะเศรษฐกิจ กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่เข้าสู่ปกติซักที และคิดว่าปีหน้าก็ต้องลุ้นอีกว่าจะเป็นอย่างไร ถ้ามีปัจจัยลบจากจีนเข้ามาอีกก็น่าจะเป็นปัญหา และผมว่าการปลดล็อครถคันแรกก็คงไม่ได้ช่วยอะไรให้ตลาดฟื้นกลับมานัก ปกติคนที่ซื้อรถได้ก็มีบ้านอยู่แล้ว ยกเว้นแต่คนที่อยากขยายครอบครัว ดังนั้นตลาดอสังหาจะฟื้น ไม่ฟื้นในปีหน้า อยู่ที่เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นอย่างเดียว”
สำหรับ สัมมากร ช่วงสิ้นปีนี้เตรียมเปิด 3 โครงการแนวราบใหม่ ประกอบด้วย สัมมากร ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ, สัมมากร ไพร์ม 7 รังสิต – นครนายก และทาวน์โฮม รามอินทรา – วงแหวน นอกจากนี้ยังเตรียมศึกษาโครงการคอนโดมีเนียม รวมถึงอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่พัทยา เพื่อสร้างรายได้ในปีนี้ 1,700 ล้านบาท และโครงการใหม่จะมีส่วนช่วยให้รายได้ปี 2560 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท
สรุป
ด้วยความเป็นบริษัทเก่าแก่ ทำให้ สัมมากร เปลี่ยนตัวเองเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ยาก แต่ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทำให้คนวัย 35 – 40 หากต้องการซื้อบ้าน น่าจะมีชื่อ สัมมากร อยู่ในใจ ดังนั้นจากนี้ สัมมากร จะใช้จุดเด่นเรื่องความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่มีอยู่มายาวนาน เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่อาจจะไม่แมส ไม่หรู แต่มั่นคง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา