‘บาทแข็งค่า’ อาจไม่ได้เกิดจาก ‘ส่งออกทองคำ’ นักเศรษฐศาสตร์มอง เป็นแค่ปลายเหตุปัญหา

ตอนนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% จากต้นปี จนมีการตั้งประเด็นว่า สาเหตุของเรื่องนี้มาจากการ ‘ส่งออกทองคำ’ ไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะ ‘กัมพูชา’ ที่ตอนนี้เป็นผู้นำเข้าอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์

ส่งออกทองคำ

มองประเด็น ‘ส่งออกทองคำ’

ถ้าย้อนกลับไป 5 ปี ยอด ส่งออกทองคำ ไปกัมพูชาเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก

  • ปี 2564 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา 8,627 ล้านบาท
  • ปี 2568 (ผ่านไป 7 เดือน) ไทยส่งออกทองคำไปแล้ว 71,312 ล้านบาท

หมายความว่าเงินต่างประเทศไหลเข้าไทย (เพื่อซื้อทอง) มหาศาล ส่งผลให้เงินไทยแข็งค่าขึ้น ด้วยการส่งออกที่เพิ่มขึ้นขนาดนี้ การที่คนเริ่มตั้งคำถามและเสนอมาตรการภาษีทองคำ จึงอาจเป็นเรื่องที่ไม่แปลกนัก

แต่ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ‘ตั้งข้อสังเกต’ เบื้องต้นว่า เป็นไปได้ไหมที่ “การส่งออกทองคำเป็นแค่อาการ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง?”

จะเข้าใจเงินแข็ง-อ่อนค่า ต้องรู้จักดุลการชำระเงิน

ในการซื้อขายกับประเทศอื่น เราจะมีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments) เพื่อให้รู้ว่าประเทศรับหรือจ่ายเงินให้ต่างประเทศเท่าไหร่

  • เกินดุล คือ เงินเข้า ‘มากกว่า’ เงินออก แปลว่าเรามีเงินต่างประเทศในมือ ‘เพิ่มขึ้น’ ต่างชาติจะมั่นใจขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่า
  • ขาดดุล คือ เงินเข้า ‘น้อยกว่า’ เงินออก แปลว่าเรามีเงินต่างประเทศใน ‘ลดลง’ ต่างชาติจะมั่นใจน้อยลง ทำให้เงินบาทอ่อนค่า

“ถ้าดูตัวเลขจริง ๆ จะเห็นว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าทองสุทธิ คือเรานำเข้าทองมากกว่าที่เราส่งออก” หมายความว่า เราจ่ายเงินออกไป ไม่ใช่รับเข้ามา  

ดร.พิพัฒน์มองว่า “เมื่อเทียบกับการนำเข้าทองที่มีมูลค่าสูงกว่าอย่างมากแล้ว แทบจะไม่มีโอกาสทำให้เงินบาทแข็งได้มากขนาดนี้”

ส่งออกทองคำ ไม่ใช่ต้นเหตุ แต่เป็นอาการปลายทาง

ดร.พิพัฒน์ตั้งสมมติฐานว่า “ทองคำ” เป็นเพียงอาการปลายทางของการที่เงินต่างชาติไหลเข้ามาในไทย ตัวอย่างเช่น

  1. มีเงินไหลเข้ามาไทยจากต่างประเทศ ผ่านช่องทางที่ตรวจสอบยาก เช่น คริปโทฯ หรืออื่น ๆ เข้ามาในบัญชีของผู้มีถิ่นที่อยู่ในไทย 
  1. สินทรัพย์ถูกแปลงเป็นเงินบาท ทำให้เงินบาทแข็งค่า แต่ธุรกรรมอาจไม่ถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน
  1. ใช้เงินบาทไปซื้อทองคำ
  1. ทองถูกส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน จึงเห็นการส่งออกทองพุ่ง

หากดูแค่สถิติก็จะเห็นว่า ‘การส่งออกทอง’ เพิ่มขึ้น แต่ดร.พิพัฒน์อธิบายว่า “แรงกดดันที่ทำให้บาทแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนที่หนึ่งแล้ว” โดยไม่ต้องถึงขั้นตอนการซื้อทองคำ

เงินที่อธิบายไม่ได้ เข้า-ออกไทยเพิ่มทุกปี

ดร.พิพัฒน์มองว่า การที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์ ทำให้การส่งออกทองคำไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่โตขึ้นทุกปี ‘น่าสงสงสัย’

และที่น่าสังเกตคือในดุลชำระเงินของไทย มีธุรกรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ (Errors & Omissions) ขยายตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณว่ามีเงินไม่น้อยเข้าออกโดยไม่แน่ใจว่ามากจากไหน

ทางออกที่ไกลกว่าการจำกัด ‘ส่งออกทองคำ’

ดร.พิพัฒน์อธิบายว่าปัญหาต้นเหตุ จริง ๆ คือ กลไกการกำกับที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างภาคธนาคารกับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยภาคธนาคารมีมีการตรวจสอบตัวตนของลูกค้า (KYC), ต่อต้านการฟอกเงิน (AML), กฎการเดินทาง (Travel Rule) ที่เข้มงวด

แต่ในตลาดคริปโทฯ ยังไม่มีเครื่องมือเทียบเท่า แถมธุรกรรมที่ผ่านตลาดอย่างคริปโตอาจไม่ได้ถูกบันทึกในดุลการชำระเงินเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เงินบาทแข็งจากเงินไหลเข้าที่ตรวจสอบไม่ได้ และอาจถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน 

ความเสี่ยงหากแก้แค่ปลายเหตุคือการส่งออกทองคำ คือ

  • ธุรกิจสุจริต รับภาระ ถูกตรวจสอบหนัก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับฟอกเงิน
  • ต้นเหตุจริงคือกระแสเงินเข้าผิดกฎหมาย (Illicit Inflows) ไม่ถูกแตะ ปัญหาย้ายไปช่องทางอื่น

สุดท้ายแล้วผลลัพธ์คือประคองอาการแต่ไม่รักษาแผล

ดร.พิพัฒน์ มองว่าสิ่งที่ควรทำในเรื่องนี้คือ

  1. ทำให้ตลาดคริปโทฯ มีกลไกการกำกับเทียบเท่าธนาคาร ปิดช่องฟอกเงินที่ต้นทาง
  2. เชื่อมโยงเส้นทางการเงินของศูนย์ซื้อขายคริปโทฯ ธนาคาร กรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเห็นทั้งเส้นทางเงิน
  3. ลงทุนใน Blockchain Analytics เพื่อตามรอยกระแสเงินเข้าที่ไม่ถูกจับในดุลการชำระเงิน
  4. ปรับสู่มาตรฐานสากล ให้ระบบกำกับ AML และ CFT มีระดับเดียวกับประเทศชั้นนำ
  5. ทำมาตรฐานการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินในธุรกรรมการส่งออกทองคำ

แบงก์ชาติขยับแล้ว

ล่าสุด ธปท. เชิญสมาคมค้าทองคำเข้าร่วมหารือ โดยสมาคมค้าทองคำเสนอจะสนับสนุนการซื้อขายทองคำในประเทศไทยด้วยสกุลดอลลาร์มากขึ้น ลดความต้องการเงินบาทเพื่อไม่ให้เงินไทยแข็งค่า

ส่วนในการแก้ปัญหาจากต้นเหตุ ธปท. ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการร้านทองในการยกระดับการติดตามการซื้อขายทองคำในสกุลเงินบาท โดยเฉพาะพฤติกรรมของนักลงทุนที่อาจส่งผลต่อค่าเงิน รวมทั้งระมัดระวังไม่ให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้น ไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย

สุดท้ายแล้ว จะเห็นได้ว่าเงินบาทแข็งค่า อาจไม่ได้มีต้นตอจาก ‘การส่งออกทองคำ’ แต่รากของปัญหาจริง ๆ อาจมาจากที่มาของเงินที่นำมาซื้อทองคำ ดร.พิพัฒน์ ทิ้งท้ายว่า คำถามสำคัญที่เราควรถาม ไม่ใช่แค่ “ทำไมส่งออกทองคำเยอะ?”

แต่ควรถามลึกไปอีกว่าสุดท้ายแล้ว “เงินบาทแข็งเพราะทองคำจริง ๆ หรือเพราะกระแสเงินที่เรายังไม่สามารถจับได้?” จะได้เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเงินบาทถึงแข็งขึ้นอย่างรุนแรงนำหน้าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

ที่มา: ข้อคิดเห็นของดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
บาส รชต สนิท - นักข่าว นักเขียน ที่ Brand Inside | สนใจด้าน Future of Work, สิทธิคนทำงาน, สิ่งแวดล้อม, การเมืองโลก, ปัญหาทุนนิยม และ สิทธิมนุษยชน