อดีตพรีเซ็นเตอร์ Say No! Ronaldo เลือกน้ำเปล่ากลางงาน Euro 2020 มูลค่าบริษัท Coca-Cola ตกแสนล้าน

เมื่อนักเตะฟุตบอลชื่อดัง Cristiano Ronaldo ขยับขวดโค้กออกจากกล้องเมื่อวันก่อน มูลค่าของ Coca-Cola Company ก็เสียหายกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในข้ามคืน หรือเท่ากับ 1.25 แสนล้านบาทนั่นเอง

ภาพจาก YouTube The Guardian

มาเลือกน้ำเปล่ากันเถอะ

Cristiano Ronaldo นักเตะกองหน้าทีมชาติโปรตุเกส เข้าร่วมงานแถลงข่าว UEFA Euro 2020 เมื่อไม่กี่วันก่อน กำเนิดคลิปไวรัลบนโซเชี่ยลมีเดียให้ทั้งแฟนบอลและคนทั่วไปได้เห็น

ดังที่เห็นในคลิป Ronaldo ขยับขวดโค้กทั้งสองขวดออกจากหน้ากล้องและพูดว่า “Agua” ที่แปลว่า “น้ำ” ในภาษาโปรตุเกส ดูเหมือนว่าเขาอยากจะรณรงค์ให้คนเลือกดื่มน้ำเปล่ากันมากขึ้น

หลังจากที่คลิปของ Ronaldo เป็นไวรัล มูลค่าของ Coca-Cola Company ก็ลดลงกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงิน 1.25 แสนล้านบาท ในช่วงเวลาข้ามคืน

ตัวแทนจาก Euro 2020 ให้ข้อมูลว่า “นักแข่งขันทุกคนสามารถเลือกเครื่องดื่มที่ตัวเองชอบได้ ทาง Coca-Cola ได้เตรียมเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เช่น น้ำเปล่า น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ ชา กาแฟ รวมถึงโค้กและโค้กซีโร่ไว้ให้เราในงานแถลงข่าวตลอดทัวร์นาเมนต์”

สุขภาพสำคัญที่สุด

ในด้านของ Ronaldo นักเตะชาวโปรตุเกสระดับโลก ด้วยยอดผู้ติดตามบน IG เกือบ 300 ล้านคน มีค่าตัวนักกีฬาฟุตบอลอันดับสองของโลกและที่สำคัญที่สุด เขามีชื่อเสียงโด่งดังด้านการรักษาสุขภาพ เน้นเรื่องการควบคุมอาหาร พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอ

ทว่า Ronaldo ก็เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้โค้กเมื่อปี 2006 ในโฆษณาที่ฉายในประเทศจีน รวมถึงแบรนด์ไก่ทอดชื่อดังอย่าง KFC ในปี 2013 อีกด้วย ทำให้บางส่วนตำหนิเขาเรื่องการกระทำที่ไม่สม่ำเสมอกับสิ่งที่พูด

นักกีฬาตัวอย่างในหลายๆ ด้าน

หนี่งวันหลังจากเหตุการณ์ของ Ronaldo นักเตะทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง Paul Pogba ก็นำขวด Heineken ผู้ที่เป็นสปอนเซอร์อีกรายหนึ่งของ Euro 2020 ลงจากโต๊ะเช่นเดียวกัน

ทาง Heineken กล่าวว่า “เราเคารพทางเลือกของทุกคนในด้านการเลือกเครื่องดื่มที่ชอบ”

สำนักข่าว Insider มองประเด็นนี้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาของ Paul ที่นับถือศาสนาอิสลามจึงไม่สบายใจที่จะแถลงข่าวโดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ร่วมด้วย ถึงแม้ขวดที่ตั้งอยู่จะเป็นแบบไม่มีแอลกอฮอล์ (non-alcoholic) ก็ตาม

สรุป

การกระทำของนักกีฬาชื่อดังส่งผลกระทบสู่แบรนด์ได้อย่างง่ายดาย ถึงจะไม่ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ตาม แบรนด์ควรรับรู้และรับมือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคที่เทรนด์การบริโภคอย่างมีสุขภาพกำลังมาแรง

ที่มา – The Guardian, Insider, CNN 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา