ในไทยถ้าอยากมีที่ปรึกษาการเงินส่วนบุคคล อย่างน้อยต้องมีเงินหลักล้านบาทถึงจะมีพนักงานมาดูแลพอร์ทลงทุนให้เรา แต่ตอนนี้มีเทคโนโลยี Robo advisor ที่ช่วยแนะนำการลงทุนให้ลูกค้ารายย่อยเริ่มต้นแค่เดือนละ 1,000 บาทก็ได้
Brand Inside มีโอกาสได้พูดคุยกับ ชลเดช เขมะรัตนา CEO และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Robowealth บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินที่ใช้ robo advisor แบบ 100% ว่าแต่มุมมองต่อตลาดในไทยปีนี้จะเป็นอย่างไร?
Robo advisor คืออะไร?
ชลเดช เขมะรัตนา CEO และ ผู้ร่วมก่อตั้ง บลน. Robowealth บอกว่า Robo advisor คือที่ปรึกษาทางการเงินที่นำ Robot (หุ่นยนต์) นำ AI อัลกอริทึ่มต่างๆ มาช่วยดูแลบริหารพอร์ทลงทุนแบบอัตโนมัติ ในต่างประเทศเริ่มใช้ Robo advisor อย่างแพร่หลายในการลงทุนกองทุนรวมประมาณ 10 ปีแล้ว
ทั้งนี้ Robo-advisor มักจะใช้กลยุทธ์หลักในการลงทุนคือ Asset allocation หรือการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ผ่านกองทุนรวม ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีกองทุนรวมจำนวนมากทำให้ Robot สามารถกระจายการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน ทองคำ ฯลฯ
ข้อดีของการใช้ Robo-advisor คือลงทุนง่ายขึ้น และปรับพอร์ทลงทุนตามสภาวะตลาดได้ทัน โดย Robowealth มีแอพพลิคชั่น odini ซึ่งระบบจะมี Robot อ่านข้อมูลทางเศรษฐกิจทั้งไทยและทั่วโลก รวมถึงข้อมูลหุ้นต่างๆ นำมาวิเคราะห์ผ่าน Quantitative Analysis Model (โมเดลการวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์) เพื่อหาสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่ผลตอบแทนตามที่นักลงทุนเลือกไว้
“odini จะรวบรวมข้อมูลเศษฐกิจ การลงทุนจากหลายแหล่ง เช่น Reuters การจัดอันดับกองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง ฯลฯ มาอ่านและวิเคราะห์ว่าช่วงนี้ลูกค้าต้องจัดพอร์ต หรือปรับพอร์ทอย่างไร ซึ่งทุกครั้งที่มีเงินก้อนใหม่เข้ามา odini จะคิดให้เลยว่าต้องแบ่งลงทุนแบบไหน แต่ก่อนที่โมเดลลงทุนจะมาถึงลูกค้า บริษัทเรามี Fund maneger มีคณะกรรมการลงทุนที่คอยอนุมัติการใช้โมเดลก่อนเสมอ”
แก้ Pain Point คนไทยเริ่มลงทุนง่าย สมัคร-ติดตาม-ปรับพอร์ท-อย่างผ่านมือถือ
ปัญหาหลักของคนไทย คือ อยากลงทุนแต่ไม่มีเวลาดูข้อมูลหรือคอยปรับพอร์ทได้ต่อเนื่อง เพราะนอกจากนักลงทุนต้องเปรียบเทียบว่า กองทุนรวมของ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม) ที่ไหนดี ยังต้องหาข้อมูลเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างต่อเนื่อง และต้องเลือกบริษัทที่จะเปิดพอร์ทลงทุน เพราะไม่ใช่ทุกบริษัทฯ จะเปิดให้ลงทุนกองทุนที่ดีจากบริษัทอื่นได้
“Robowealth แก้ปัญหานี้โดยเปิดให้ลูกค้าซื้อกองทุนรวมได้ทุกกองในไทย สมัครผ่านมือถือใช้เวลาแค่ 10 นาที ก็เปิดพอร์ทได้เลย โดยนักลงทุนไม่ต้องเลือกกองทุนรวมเอง แต่เลือกว่าอยากได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ปัจจุบันมีให้เลือก 5 แบบคือผลตอบแทนต่อปีได้แก่ 4% 6% 8% 10% และ 12% ซึ่งกรอบผลตอบแทนที่สูงขึ้นสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก็มากขึ้น โดยนักลงทุนสามารถเลือก ปรับและติดตามพอร์ทผ่านระบบออนไลน์ได้เลย”
ทั้งนี้จุดเด่นของ Robowealth คือ สามารถทำ DCA (dollar-cost averaging) ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนได้ เพราะนักลงทุนสามารถตั้งค่าให้ระบบตัดเงินจากบัญชีที่เชื่อมในแอพฯ เดือนละ 1,000 บาทขึ้นไป เพื่อมาลงทุนกองทุนรวม สำหรับนักลงทุนที่มีพอร์ทมีมูลค่าตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป odini จะดูแลและการปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ (Auto-rebalancing) ตามสถานการณ์ปัจจุบัน
สาเหตุที่บริษัทฯ สามารถขายกองทุนรวมได้ทุกที่เพราะเป็นพันธมิตรกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่มีระบบ FundConnect เชื่อมโยงกับทุกบลจ. นอกจากนี้บริษัทยังมี AIS มาทำหน้าที่เป็น E-wallet Provider เป็นเหมือนกระเป๋าเงินของนักลงทุน ใช้สำหรับใส่เงินเตรียมลงทุน รับเงินปันผล
การแข่งขันธุรกิจ robo advisor ในไทยปีนี้เป็นอย่างไร?
ปี 2019 นี้คาดว่าธุรกิจ Robo Advisor จะมีคู่แข่งมากขึ้น เพราะเห็นช่องว่างตลาดในประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เริ่มต้นลงทุน แต่ต้องแข่งขันกันเพิ่มพันธมิตรที่ทำให้นักลงทุนเปิดพอร์ทได้สะดวกและลงทุนได้หลากหลาย ทั้งนี้โครงสร้างรายได้ธุรกิจ Robo Advisor ในไทยไม่เหมือนในต่างประเทศเพราะกองทุนรวมในต่างประเทศคิดค่าธรรมเนียมน้อย ดังนั้นบริษัทที่ปรึกษาในต่างประเทศจะเก็บค่าบริการกับลูกค้าเพิ่มเติม ส่วนของไทยกองทุนรวมมีค่าธรรมเนียมซื้อขายที่สูงกว่า บริษัทที่ปรึกษาทั้งหลายจึงไม่คิดค่าบริการ แต่จะมีรายได้มากจากกองทุนรวมนั่นเอง
อย่างไรก็ตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินคือ คนทั่วไปที่อยากจะเริ่มต้นลงทุนแต่ยังไม่มีเวลา โดยเฉพาะกลุ่ม Millennial หลังจากนี้ในตลาดน่าจะเห็นบริษัทอื่นๆ มาแข่งขันให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้ ส่วน Robowealth ปัจจุบันมีโปรโมชั่นให้ผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน odini ได้สิทธิ์ใช้งานฟรี โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมนาน 12 เดือน (ปกติคิดค่าธรรมเนียมเดือนละ 20 บาท)
ทั้งนี้ Robowealth เปิดตัวแอปพลิเคชั่นในเดือนมิ.ย. 2018 ปัจจุบันมีฐานลูกค้าดาวน์โหลด odini แล้ว 50,000 ราย ซึ่งปีนี้จะขยายฐานผู้ใช้งานมากขึ้นจากผ่านการ co-marketing ในฐานลูกค้าของ AIS ที่มีอยู่ 40 ล้านราย ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้าน RMF (Retirement Mutual Fund) จากปัจจุบันที่มี LTF (long term equity fund) อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังขยายฐานไปลูกค้า กลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ หรือ High Net Worth ภายใต้แบรนด์ INDEGO (อินดีโก้) สำหรับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
นอกจากนี้แผนงานหลักคือสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกล้าใช้ Robot มากขึ้น จึงต้องลงทุนด้านสื่อ การสร้าง Content ฯลฯ และที่สำคัญต้องสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าเห็น Performance ด้านการลงทุนอย่าง ปัจจุบันลูกค้าที่เริ่มต้นลงทุนกับบริษัทมีผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่าสภาวะตลาดที่ติดลบในปี 2018 ที่ผ่านมา
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา