ท่ามกลางกระแสของ FinTech ที่เติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะสาย Retail Investment สิ่งหนึ่งที่ตัวผมและวงการ FinTech และน่าจะรวมถึงผู้กำกับดูแลต้องการจะให้เกิดขึ้นนั่นคือการพัฒนา ผู้แนะนำการลงทุนอัตโนมัติ หรือ Robo-Advisor ให้เกิดขึ้นซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนไทยเข้าถึงตลาดการลงทุนได้มากขึ้น
จุดที่ Robo-Advisor สามารถสร้างความแตกต่างให้กับอุตสาหกรรมการเงินการลงทุนรูปแบบเดิมนั่นคือ การเน้นใช้ประสิทธิภาพของ “สมองกล” ในการวิเคราะห์และจัดพอร์ตให้ลูกค้า (ง่ายๆ คือเล่นหุ้นแทนเรานั่นเอง) โดยตัดต้นทุนเรื่องของ “คน” ออกไป (ยังใช้อยู่ แต่ใช้น้อยลง) นั่นหมายความว่าลงทุนกับระบบเพียงครั้งเดียวก็สามารถให้บริการกับคนจำนวนมากได้ทันที (หลังจากนั้นก็คอยปรับกลยุทธ์การลงทุนและดูแลรักษาระบบเท่านั้น)
จุดนี้สามารถเข้ามาแก้ปัญหา Pain Point ของธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินในปัจจุบันได้ เพราะถ้าคุณต้องการคนมาช่วยดูแลเงินให้งอกเงยชนิดที่เราไม่ต้องไปจัดการเอง (ก็คือซื้อขายหุ้นหรือกองทุนเองนั่นแหละ) ต้องเป็นลูกค้าที่มีเงินเยอะเท่านั้น โดยหลักสากลคือจะต้องมีเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 36 ล้านบาทขึ้นไป ถ้ามีเงินน้อยหลักหมื่นหลักแสน อาจจะได้รับคำแนะนำฟรี แต่ก็ต้องไปบริหารเงินเองอยู่ดีและอาจจะไม่ได้ Customize ในแบบที่เราชอบมากนัก
Robo-Advisor จึงเป็นช่องทางที่ระดมเงินอาจจะไม่มากจากคนจำนวนมหาศาลมาอยู่ด้วยกันจนเกิด Economy of Scale ที่มากพอที่จะนำไปบริหารต่อได้ในต้นทุนที่ไม่สูงนัก ซึ่งผมมองว่าการเกิดขึ้นของ Robo-Advisor จะทำให้คนไทยจำนวนมากสามารถเข้าถึงตลาดการลงทุน จากปัจจุบันดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เข้าถึงอินเทอร์เนตและพอมีเงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ จะเริ่มนำเงินมาลงทุน รวมถึงคนที่พอมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งอย่างคนทำงานประจำที่ไม่มีเวลามานั่งศึกษาการลงทุนแต่ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน ก็จะมาใช้บริการ
ต้องยอมรับว่าในตลาดหุ้นจะมีผู้แพ้มากกว่าผู้ชนะเสมอ (เพราะฝีมือและความรู้มีไม่เท่ากัน) แต่ทุกคนที่เข้ามามีโอกาสได้รับ Positive Sum Games หรือผลตอบแทนเป็นบวกจากตลาดหุ้นได้เช่นกัน หากรู้จักนำเงินไปฝากผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล ซึ่ง Robo-Advisor เข้ามาช่วยได้
มาดูที่แนวโน้มการเติบโตของ Robo-Advisor งานวิจัยจาก Cerulli Associates ผู้ให้บริการทางด้านการเงินได้คาดการณ์ว่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการที่จะถูกบริหารโดย Robo-Advisor ทั่วโลกจะโตถึง 2,500% อยู่ที่ 489,000 ล้านเหรียญในปี 2020 ขยับมาใกล้กว่านั้น จะมีมูลค่า 18,700 ล้านเหรียญในปี 2015 โดยภูมิภาคที่จะเติบโตมากที่สุดคือ เอเชียแปซิฟิค เนื่องจากมีประชากรในวัย Millennial จำนวนมาก และมีอัตราการใช้อินเทอร์เนตระดับสูง
ส่วนตัวผมชื่นชอบ FinTech รายหนึ่งจากฮ่องกงมากๆ นั่นคือบริษัท 8 Securities ผู้พัฒนาแอพลิเคชั่น Chole ซึ่งเป็น Robo-Advisor ที่รับบริหารเงินให้กับลูกค้า โดยใช้เงินเริ่มต้นเพียงแค่ 1,000 เหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 4,500 บาทเท่านั้น !! ที่สำคัญคือ ฟรีครับ ไม่เสียค่าคอมมิชชั่น 0.88% ต่อปี จะเสียต่อเมื่อใส่เงินเข้าไปมากกว่า 8,888 เหรียญฮ่องกง หรือ 40,000 บาท เรียกได้ว่าเม็ดเงินระดับนี้ คนทั่วไปที่ไม่ได้รวยมากก็สามารถเข้าถึงบริการได้
โดยเรากำหนดเป้าหมายในการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้เข้าไป ระบบก็จะนำเงินของเราไปลงทุนในตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์และตลาดพันธบัตรกว่า 28 ประเทศ ครอบคลุม 1,637 หลักทรัพย์ โดย 8 Securities เป็นพันธมิตรกับสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง HSBC, Standard Charter ในฮ่องกง ที่เจ๋งมากคือสามารถถอนและฝากเงินได้ตลอดเวลาอีกด้วย
อนาคตผมอยากเห็น FinTech ไทยไปถึงจุดนั้นได้เช่นกันและดูจะไม่น่าจะไกลเกินเอื้อมแล้วเพราะทางสำนักงาน กลต. กำลังเปิดรับฟังความเห็นของผู้ประกอบการฟินเทคได้เสนอไอเดียเพื่อพัฒนาวงการตลาดทุนไทยร่วมกัน ซึ่งการที่ได้ไปร่วมประชุมมาทุกครั้ง ต้องขอบคุณสำนักงาน กลต. เป็นอย่างมากที่เปิดโอกาสให้พวกเราได้มีส่วนช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงตลาดการลงทุนมากขึ้นในอนาคตครับ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา