บินไปเปิดพอร์ตเทรดหุ้นทั่วโลกกับโบรกเกอร์สิงคโปร์ มีอะไรน่าสนใจกว่าที่คิด

ปัจจุบันนี้ นักลงทุนไทยสามารถเปิดพอร์ตลงทุนซื้อขายหุ้นทั่วโลกได้แล้วโดยโบรกเกอร์ไทยเอง แต่การเปิดพอร์ตโดยตรงกับโบรกเกอร์สัญชาติสิงคโปร์ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะทำให้เราได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีให้บริการ โดยโบรกเกอร์ที่ผมได้ไปเปิดบัญชีมาก็คือ OCBC Securities ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารใหญ่อันดับสองของสิงคโปร์

แม้ตลาดหุ้นสิงคโปร์จะค่อนข้างนิ่ง ไม่หวือหวาเหมือนกับตลาดหุ้นไทยเพราะวอลลุ่มซื้อขายกว่า 80% มาจากนักลงทุนสถาบัน โอกาสที่จะเห็นหุ้นซิ่งแรงๆ ทำกำไรแบบเดย์เทรดได้ในวันเดียวค่อนข้างน้อย แต่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ก็ถูกทดแทนด้วย “ความหลากหลาย” ของสินค้า ด้วยความที่เป็น “ฮับ” ในด้านต่างๆ ทำให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาด SGX โดยที่อาจจะไม่มีธุรกิจอยู่ในสิงคโปร์เสียด้วยซ้ำ

นักลงทุนที่เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์สิงคโปร์ยังสามารถซื้อขายหุ้นในตลาดหลักๆ ของโลกได้ครบไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลอนดอน ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน รวมถึงย่านอาเซียนอื่นๆ อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย แม้แต่ตลาดหุ้นไทยก็ตามแต่จะเสียค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าที่เทรดในไทย

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนประเภท ETF ที่มีให้เลือกลงทุนมากมาย เช่นกองทุนที่อ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ น้ำมัน ซึ่งราคามีความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเที่ยงตรงกับราคาสินค้าอ้างอิงหรือกองทุนที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ที่กำลังมาแรงในตอนนี้คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

แต่ผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจในตอนนี้และเป็นของใหม่ก็คือ ตราสารที่เรียกว่า Daily Leverage Certificate ซึ่งออกแบบขึ้นโดยสถาบันการเงินจากฮ่องกง รูปแบบคล้ายกับ Options คือมีทั้ง Call และ Put แต่มีข้อดีคือไม่มี Time Decay หรือมูลค่าที่ลดลง ทำให้นักลงทุนสามารถถือลงทุนได้ระยะยาว คาดว่าจะเริ่มเปิดให้ซื้อขายได้ในเดือนสิงหาคมนี้

ขณะเดียวกัน ความพิเศษของตลาดหุ้นสิงคโปร์คือ ผู้ที่เปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์สามารถ “ขายล่วงหน้า” หรือ Short Sell ได้ทันที จากปกติถ้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยจะต้องเปิดธุรกรรมยืมหุ้นมาขายก่อนหรือ SBL และต้องเสียค่าวางมาร์จิ้น แต่ที่สิงคโปร์เราสามารถตั้งขายหุ้นล่วงหน้าได้เลย และเมื่อหุ้นลงก็จะทำกำไรได้ แต่จำเป็นต้องขายออกไปทันทีในวันนั้นไม่เช่นนั้นทางตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์จะซื้อคืนหุ้นตัวนั้นให้เอง

อีกประการ คือ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ยังมีโปรแกรมที่เรียกว่า Contra Trading กล่าวคือนักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้เกินวงเงินที่มีอยู่ในพอร์ต เช่น ใส่เงินไว้ในพอร์ตจำนวน 50,000 บาท แต่สามารถเทรดได้ในวงเงิน 100,000 บาท โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีมาร์จินแบบไทย โดยมีระยะเวลาให้ซื้อขายได้ภายใน 3 วันทำการสำหรับหุ้นในตลาดสิงคโปร์ ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯจะได้เวลาถึง 5 วัน ตลาดหุ้นลอนดอน 4 วัน โดยหากซื้อและขายได้กำไรภายในระยะเวลาดังกล่าว เราก็จะได้กำไรที่เกิดขึ้นนั้นไป แต่ยังเสียค่าธรรมเนียมซื้อขายตามปกติ

จุดประสงค์ที่เกิดโปรแกรมดังกล่าวเพราะทางตลาดหุ้นสิงคโปร์ต้องการจะสนับสนุนให้นักลงทุนรายย่อยซื้อขายหุ้นให้มากขึ้นนั่นเอง โดยโปรแกรมดังกล่าวเปิดมาแล้วสามปี และยังคงเปิดอยู่ ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจการเล่นเก็งกำไรในระยะสั้น

ส่วนเรื่องของการรับเงินปันผล ทางโบรกเกอร์จะเป็นผู้นำเงินปันผลที่ได้เข้าไปในพอร์ตลงทุนของเราเอง ส่วนเรื่องการประชุมผู้ถือหุ้น หากเราต้องการเข้าร่วม โบรกเกอร์สามารถออก Proxy ให้เราไปร่วมประชุมได้เช่นกัน

คำถามคลาสสิคสำหรับผู้ที่อยากจะลงทุนต่างประเทศก็คือต้อง “ใช้เงินเท่าไร” คำตอบคือเพียงแค่หลัก “แสนกลางๆ” ก็เพียงพอแล้ว แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าหุ้นไทยแต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตฟอร์ลิโอและต้องการเปิดโลกการลงทุนของตัวเองให้กว้าง ลองหาทางเปิดพอร์ตเทรดหุ้นต่างประเทศดูครับ ส่วนใครต้องการรายละเอียดสามารถ Inbox มาคุยกันได้นะครับ ที่นี่ https://www.facebook.com/Monkey-Money-378476875694555/

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

อดีตนักข่าวสายการเงินและตลาดหุ้นประจำสื่อยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง สนใจเรื่องทฤษฎีสมคบคิดในโลกการเงินเป็นพิเศษ ปัจจุบันเป็น Head Creative ที่ Super Trader และ COO ที่ Stock Quadrant ฟินเทคด้านการวิเคราะห์หุ้น มีอะไรคุยกันได้ที่เพจ Monkey Money และ @Nares_SPT