กระแสรถยนต์ไฟฟ้า 100% มาแรงจริงๆ ในช่วงนี้ จนที่สุดแล้วกลุ่มพันธมิตร Nissan ก็ตัดสินใจหยุดแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Fuel-Cell หลังจากร่วมพัฒนากับกลุ่ม Daimler และ Ford มาตั้งแต่ปี 2556
ไปรถยนต์ไฟฟ้า 100% น่าจะดีต่ออนาคตมากกว่า
แม้จะเป็นหนึ่งในผู้นำของการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วน (BEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่กลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi ก็ยังมีแผนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเซลล์พลังงาน หรือ Fuel-Cell ด้วย ผ่านการร่วมมือกับกลุ่ม Daimler จากเยอรมัน และ Ford จากสหรัฐอเมริกา
โดยทางกลุ่มพันธมิตร Nissan จะรับหน้าที่เป็นผู้พัฒนาแผง Fuel Cell ส่วนกลุ่ม Daimler รับผิดชอบในการดูแลระบบเชื่อมต่อแผงดังกล่าวกับชิ้นส่วนอื่นๆ เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าแบบนี้ขับเคลื่อนได้ แถมค่ายผู้ผลิตทั้งหมดนี้ยังตั้งเป้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า Fuel-Cell เป็นการทั่วไปตั้งแต่ปี 2560
แต่สุดท้ายแล้วโครงการดังกล่าวก็ไม่คืบหน้าอย่างที่หวัง โดยทางกลุ่ม Daimler และ Ford ได้ถอนตัวออกไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มพันธมิตร Nissan ก็ต้องหยุดโครงการดังกล่าวเอาไว้ก่อน และหันไปพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า 100% ตามที่ตัวเองถนัด เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของตลาดนี้
Toyota ยังดันทุรังที่จะทำตลาด Fuel-Cell ต่อไป
หนึ่งในเหตุผลที่คาดว่าค่ายผู้ผลิตรถยนต์ข้างต้นตัดสินใจชะลอการทำตลาด Fuel-Cell ไปก่อน เพราะต้นทุนทั้งการผลิต และการใช้งานจริงยังค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกับสถานีเติมไฮโดรเจน ทำให้ถ้าไม่มีสถานีเติม การใช้งานจริงก็ยากมาก แม้รถยนต์ไฟฟ้า Fuel-Cell จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเข้ากับนโยบายลดมลพิษของหลายประเทศ
ในทางกลับกัน Toyota พี่ใหญ่ของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยังพยายามทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า Fuel-Cell อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ประเภทนี้กว่า 30,000 คันภายในปี 2563 ผ่านรุ่น Mirai ที่ขายในญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และบางประเทศในกลุ่มยุโรป รวมถึงเตรียมจำหน่ายในประเทศแคนาดาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงด้วย
ทั้งนี้เมื่อเดือนก่อน Toyota ตัดสินใจสร้างโรงงานที่ผลิตเซลล์พลังงานโดยเฉพาะภายในโรงงานขนาดใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น และจะเริ่มผลิตชิ้นส่วนดังกล่าวได้ราวปี 2563 โดยผู้ผลิตรถยนต์รายนี้คาดหวังว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตชิ้นส่วนไม่ว่าจะเป็นแผงเซลล์พลังงานราวครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า รวมถึงช่วยให้จำหน่ายรถยนต์ได้ในราคาที่ถูกลงด้วย
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้า Fuel-Cell เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมานาน ประกอบกับการใช้งานจริงก็ทำได้ดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่เสียได้ซ้ำ โดยเฉพาะกับเรื่องเติมเชื้อเพลิงไม่นานก็วิ่งได้ไกล แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการทำตลาดของแต่ละค่ายผู้ผลิตเอง ซึ่งถ้าดันทุรังไปไม่ไหวแล้ว ก็น่าจะพอดีกว่า
อ้างอิง // Nikkei Asian Review
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา