อยากออกก็ออกไม่ได้ ‘Quiet cracking’ สภาวะที่ต้องทำงานไปวันๆ เพราะคนน้อยลงแต่งานเท่าเดิม แถมยังหางานใหม่ยาก

หมดใจเมื่อไหร่ก็ไป คำนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้อีกแล้วในยุคนี้ เพราะคนทำงานยังรู้สึกต้องทนทั้งที่หมดแรง ลาออกไปไหนก็ไม่ได้เพราะบริษัทรับคนน้อยกันเหลือเกิน 

การแตกร้าวในใจที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ความเหนื่อย หมดแรง อยากปลีกตัวออกจากงาน แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองโดยออกไปไหนไม่ได้ สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับพนักงานในยุคปัจจุบัน โดยมีชื่อเรียกกันว่า ‘Quiet Cracking’

สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าสุขภาพจิตของพนักงานกำลังย่ำแย่ จากความรู้สึกที่ไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่อีกต่อไป 

ทั้งความรู้สึกที่ว่าไม่เติบโตในหน้าที่การงาน การไม่ถูกยอมรับหรือเห็นคุณค่า AI ที่เข้ามาแทนที่จนโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงมหากาพย์การเลย์ออฟที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมลดลงแต่จำนวนงานกลับเท่าเดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้น

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ การลาออกเพื่อหนีจากวงจรเดิมๆ และหาโอกาสใหม่ๆ กลับเป็นตัวเลือกที่ต้องปัดตกไปก่อน เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน งานหายากขึ้นกว่าเดิม และไม่แน่ด้วยว่าจะก้าวหน้ากว่างานปัจจุบันหรือไม่ 

ทำให้หลายคนอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ต้องทนทำงานต่อแม้ว่าใจจะรู้สึกไม่ไหว กลายเป็นการเลือก ‘ปลีกตัวออกจากงาน’ ขอไม่เอาใจลงไปเล่นและไม่ได้มีส่วนร่วมกับงานมากเท่าเดิม หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘ไม่อิน’ อย่างเก่า

สอดคล้องกับรายงานของ TalentLMS ในปีนี้ที่บอกว่า พนักงาน 54% รู้สึกไม่มีความสุขกับงานเป็นบางครั้งไปจนถึงประจำ

สุขภาพจิตที่มีผลเป็นตัวเลข

แม้จะดูเหมือน Quiet Cracking จะเกิดขึ้นภายในจิตใจและความคิดของพนักงานเพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนและมีความเสียหายที่วัดได้เป็นตัวเลข 

ในรายงานของ Gallup บอกว่า ในปี 2025 นี้ อัตราของพนักงานที่มีส่วนร่วมกับงานลดลงทั่วโลก จาก 23% ในปีก่อน สู่ 21% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งที่ 2 ในรอบ 12 ปี หลังจากครั้งแรกคือช่วงการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 

การมีส่วนร่วมที่ลดลงนี้เองที่ทำให้ผลผลิตของงานลดลง สร้างความเสียหายต่อธุรกิจ และทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 4.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว 

ขอแค่หัวหน้าเปิดใจพูดคุย

นี่อาจจะถึงเวลาแล้ว ที่นายจ้างทั้งหลายจะหันมาสนใจปัญหาสุขภาพใจรวมไปถึง Well-being ของพนักงานอย่างจริงจัง 

แต่หากถามว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพนักงานคนไหนกำลังเผชิญกับภาวะ Quiet Cracking ในเรื่องนี้ Frank Giampietro ประธานฝ่าย Well-being ประจำภูมิภาคอเมริกาของ EY ได้บอกไว้ว่า สัญญาณต่างๆ มีความคล้ายภาวะหมดไฟ (Burnout) แต่ไม่ได้รุนแรงเท่า

ทางกายภาพ อาจเจ็บป่วยบ่อยขึ้น รู้สึกเหนื่อยง่าย หรือปวดหัวบ่อยกว่าปกติ ทางด้านอารมณ์ อาจรู้สึกหมดแรง ขาดแรงจูงใจ รู้สึกไร้ค่า และอารมณ์เสียได้ง่ายๆ 

ขณะที่สัญญาณในการทำงานอาจสังเกตได้ยากกว่า เช่น ฟอร์มตก ผลงานที่ออกมาเริ่มไม่เหมือนเดิม จากคนอารมณ์ดีก็กลายเป็นซึมลงอย่างเห็นได้ชัด

น่าเศร้าที่รายงานของ TalentLMS บอกว่ามีพนักงานถึง 47% ที่บอกว่าผู้จัดการไม่ยอมรับฟังพวกเขา ทั้งที่เพียงเริ่มต้นพูดคุยก็มีส่วนช่วยให้พนักงานกลับมามีความสุขกับงานได้มากขึ้นแล้ว

นอกจากนี้การเข้าไปคุยทันทีเพื่อรับรู้ถึงปัญหาและความรู้สึกที่พนักงานคนนั้นต้องแบกรับ หรือมอบคำแนะนำเรื่องต่างๆ ในการทำงาน เช่น มอบหมายงานใหม่ การให้โอกาสเรียนรู้เพิ่มเติม หรือการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาต่อกัน ก็สามารถดึงพนักงานให้กลับมาอยู่กับงานด้วยจิตใจที่แข็งแรงขึ้นได้เช่นกัน

ที่มา: Business Insider, Fortune 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา