ถึงโลกจะหมุนเร็วขนาดไหน “ที่อยู่อาศัย” ก็ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการดำรงชีวิต แต่ใช่ว่าผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จะชูตัวเองว่าสร้างบ้าน หรือคอนโดฯ ได้เก่ง เพราะตอนนี้ผู้ซื้อไม่ได้มองแค่เรื่องนั้นแล้ว
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/01/ดร.-ชัชชาติ-สิทธิพันธุ์-ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ-บริษัท-ควอลิตี้เฮ.jpg)
สร้างเก่ง ใช่ว่าจะชนะในตลาดเสมอไป
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกกันเท่ๆ ว่า Developer ความเชี่ยวชาญในเรื่องวิศวกรรมโยธา และสถาปัตยกรรมด้านออกแบบภายนอก-ภายใน คือเรื่องที่จำเป็นในลำดับต้นๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และสร้างแต้มต่อในการขายโครงการทั้งบ้านแนวราบ กับคอนโดมิเนียม
แต่ปัจจุบัน “ดิจิทัล” มีบทบาทในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคมากกว่าเดิม ทำให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างบ้านที่มากกว่าคู่แข่ง ไม่ได้สร้างความได้เปรียบในการจูงใจอีกต่อไป นอกจากนี้การที่ผู้พัฒนาโครงการยังติดอยู่ใน Pipeline เดิมๆ หรือต้องทำการขออนุญาต, สร้าง และต่อด้วยขายกับลูกค้าแบบตัวๆ ก็ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล
จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ผู้บริโภคจะเห็นผู้พัฒนาโครงการต่างๆ เดินหน้าดิจิทัลเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อทำตลาด หรือเข้าไปสนับสนุนโครงการ Startup เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้กับตัวโครงการ ซึ่ง Q.House ที่มี “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารอยู่ ก็เดินแผนนี้แล้ว เพราะมองว่าสร้างเก่ง ไม่ได้จะชนะในตลาดเสมอ
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/01/26758254_1628807533832876_1759705481218546845_o.jpg)
Transportation คือ Location ที่แท้จริง
“ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในวงการอสังหาริมทรัพย์จะพูดถึงเรื่องที่ดิน หรือ Location ว่ามันสำคัญที่สุด แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะก่อนที่ที่ดินจะดี มันต้องมีระบบคมนาคม หรือ Transportation เสียก่อน ดังนั้นการชนะในธุรกิจนี้ ก็ต้องมองระบบการคมนาคมที่เปลี่ยนไปให้ออกด้วย” ชัชชาติ กล่าว
โดยในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครนั้นมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการคมนาคมมาก เพราะในปี 2570 รถไฟฟ้าจะครอบคลุมเกือบทุกส่วนของเมือง จึงไม่แปลกที่คอนโดฯ จะกระจายไปชานเมืองมากกว่าเดิม ที่สำคัญฝั่งผู้มีรายได้น้อยจะลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้มากกว่าเดิมด้วย
อย่างไรก็ตามถึงเส้นทางหลักของขนส่งมวลชนจะดีขึ้น แต่ส่วนย่อยอย่าง Feeder หรือเส้นทางที่เชื่อมต่อจากระบบคมนาคมหลัก ไปสู่จุดหมาย เช่นบ้าน หรือสำนักงาน ยังไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นโครงการที่อาศัย Feeder น้อยที่สุด ย่อมจูงใจในการเลือกซื้อ ที่สำคัญกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ยินดีที่จะจ่ายแพงกว่า เพื่อดำรงชีวิตให้มีความสุขที่สุด
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2018/01/20180119_114548.jpg)
จาก Developer สู่ Platform อสังหาฯ
“เราเห็นได้ชัดว่า คมนาคมดีขึ้น ที่ดินก็ราคาสูงขึ้นทันที และกลายเป็นภาระของใครหลายๆ คน เพราะเงินเดินปรับขึ้นแค่ปีละ 3% แต่ค่าที่ในกรุงเทพเพิ่มถึง 8% ดังนั้นมันก็ตามกันยาก นอกจากนี้คนเริ่มหันมาซื้อคอนโดฯ ก่อนซื้อรถยนต์แล้ว แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนเมืองอย่างชัดเจน”
ดังนั้นตัวธุรกิจจำหน่ายที่อยู่อาศัยก็ต้องปรับ Model ธุรกิจไปอีกขั้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนในการค้นหาลูกค้า ซึ่ง Q.House เองก็พัฒนาเรื่องนี้แล้ว ทั้งการยกระดับเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาโครงการต่างๆ ได้เร็วขึ้น รวมถึงการจำลองภาพในโครงการต่างๆ มาให้เห็นทุกซอกทุกมุมบนเว็บไซต์เช่นกัน
สำหรับ Q.House ต้องการเป็น Platform เพื่อสร้างโอกาสการในด้านการเติบโต และการจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลัก เพื่อหนีจากผู้ควบคุมที่บางครั้งขาดประสิทธิภาพ, ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว, เข้าใช้งานในระบบได้อย่างสะดวก และได้ผลตอบรับจากผู้บริโภคอย่างทันท่วงที นอกจากควบคุมคุณภาพในการพัฒนาโครงการ
สรุป
ต้องยอมรับว่าคนมีรายได้น้อยลำบากจริงๆ และถ้ารัฐบาลยังเห็นเน้นสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแค่คนบางกลุ่ม ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็คงยังอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นหากใช้นวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพจริงๆ ประโยชน์ควรจะตกถึงคนทุกกลุ่ม และต้องมองให้ไกลไปถึงระดับประเทศด้วย ไม่ใช่นั้นปัญหาก็ยังอยู่ที่ระบบเดินทางคนเดียวเหมือนเดิม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา