พีทีจี เอ็นเนอยี หรือปั๊มน้ำมัน PT ลุยธุรกิจ Non-oil ใช้ร้านกาแฟพันธุ์ไทย-คอฟฟี่เวิลด์เป็นหัวหอก ขยายโมเดลแฟรนไชส์ สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำมากกว่าน้ำมัน
น้ำมันมีความผันผวน เบนเข็มมา Non-oil กำไรหรูกว่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ในตลาดธุรกิจปั๊มน้ำมันมีการพูดถึงธุรกิจ Non-oil กันมากขึ้นเลยทีเดียว หรือเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน รวมธุรกิจ ค้าปลีก ร้านอาหาร จุดบริการต่างๆ เรียกว่าเป็นเทรนด์ที่ทุกค่ายหันมาโฟกัสมากขึ้น
เหตุผลเพราะว่าธุรกิจน้ำมันมีรายได้สูงก็จริง แต่มีความผันผวนสูงมากเช่นกัน ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก รัฐเข้ามาควบคุม อีกทั้งกำไรขั้นต้นน้อยเพียงแค่ 6-7% ซึ่งธุรกิจ Non-oil มีความมั่นคงมากกว่า มีทิศทางในการเติบโตสูง อีกทั้งกำไรงาม บวกกับเทรนด์ของปั๊มน้ำมันที่จะกลายเป็นจุดพักรถ จุดให้บริการลูกค้าเกี่ยวกับรถยนต์ด้วย
ในปีนี้ “พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG)” หรือปั๊มน้ำมัน PT ไปประกาศทิศทางว่าบุกธุรกิจ Non-oil มากขึ้น โดยใช้ธุรกิจร้านกาแฟเป็นหัวหอกหลัก ซึ่งมีอยู่ 2 แบรนด์ก็คือ “กาแฟพันธุ์ไทย” และ “คอฟฟี่เวิลด์”
ธุรกิจ Non-oil ของ PTG ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้านกาแฟคอฟฟี่เวิลด์, ร้านข้าวแกงครัวบ้านจิตร, ร้านซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุก, Autobacs และ Max CAMP มีสาขาที่ให้บริการรวมกัน 504 สาขา รวมถึงปั๊มแก๊ส LPG ด้วย
พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เล่าว่า
“จริงๆ ได้เริ่มทำธุรกิจทำมา Non-oil มาได้ 4-5 ปีแล้ว เริ่มจากร้านกาแฟพันธุ์ไทย เพราะเห็นว่าธุรกิจน้ำมันเป็นอะไรที่วูบวาบ เราต้องการทำให้กำไรของบริษัทนิ่ง จึงต้องเพิ่มธุรกิจ Non-oil ให้มากขึ้น เพราะมีกำไรดี น้ำมันมีกำไรขั้นต้น 6-7% ในขณะที่กาแฟมีกำไรขั้นต้น 60-70% รวมถึง LPG ก็กำไรกว่าหลายเท่า และรัฐก็ไม่ได้ทำการควบคุมด้วย”
ปัจจุบัน PTG มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-oil เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 3-4% และมีการวางแผนว่าภายในปี 2565-2566 จะมีรายได้ในส่วนของกำไรจากธุรกิจ Non-oil 60% และธุรกิจน้ำมัน 40%
ขยายโมเดลแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทย–คอฟฟี่เวิลด์ รับพฤติกรรมดื่มกาแฟ
PTG เริ่มบุกตลาด Non-oil เมื่อปี 2555 ได้เปิดร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาแรกที่ปั๊ม PT ในอยุธยา จนถึงปัจจุบันมี 200 สาขา ส่วนร้านกาแฟคอฟฟี่เวิลด์นั้น ทาง บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ที่เป็นบริษัทลูกของ PTG ได้เข้าเทคโอเวอร์ไปเมื่อปี 2560 ทำให้ตอนนี้ PTG มีร้านกาแฟ 2 แบรนด์ในมือ
โดยทั้ง 2 แบรนด์มีโพซิชั่นที่แตกต่างกัน ร้านคอฟฟี่เวิลด์จัดอยู่ในระดับพรีเมี่ยม มีราคาเฉลี่ย 100 บาทขึ้นไป เน้นโลเคชั่นในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยจัดอยู่ในระดับล่าง ราคาเฉลี่ย 40-60 บาท เน้นโลเคชั่นในปั๊มน้ำมัน
เหตุผลที่ทาง PTG เริ่มมาบุกตลาดในปีนี้ และพร้อมที่เปิดธุรกิจแฟรนไชส์แก่ 2 แบรนด์นี้ ก็เพราะว่าต้องการให้มีความพร้อมอย่างเต็มที่ ยังไม่อยากขายแฟรนไชส์ตอนที่ยังไม่พร้อม
สิ่งที่ทำให้ PTG มั่นใจในการเปิดแฟรนไชส์ในครั้งนี้ พิทักษ์ได้บอกว่า ร้านกาแฟพันธุ์ไทยเปิดมา 5 ปีไม่เคยสร้างแบรนด์มาก่อน หลายคนดื่มแล้วชอบในรสชาติ หลายคนติดต่อเข้ามาถามเรื่องแฟรนไชส์ จึงมั่นใจว่าคนจะต้องสนใจแฟรนไชส์ 2 แบรนด์นี้
“ทำปั๊มน้ำมันที่ว่ายากมาแล้ว ทำไมจะทำร้านกาแฟไม่ได้”
บวกกับเทรนด์ของร้านกาแฟที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูตัวเลขตลาดกาแฟในปี 2560 มีมูลค่า 64,700 ล้านบาท แบ่งเป้นกาแฟในบ้าน 38,000 ล้านบาท และกาแฟนอกบ้าน 26,700 ล้านบาท ในกาแฟนอกบ้านเป็นร้านคาเฟ่ 64% หรือมูลค่า 17,000 ล้านบาท
คนรุ่นใหม่หันมาดื่มกาแฟกันมาขึ้น ทำให้เกิดเทรนด์ของกาแฟพรีเมี่ยม กาแฟไนโตร หรือกาแฟสกัดเย็นขึ้นมากมาย และพบว่าอัตราการดื่มกาแฟของคนไทยก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก
ในปี 2561 PTG มีรายได้จากร้านกาแฟ 500 ล้านบาท เติบโต 30%
ในปีนี้มีแผนขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทย 130 สาขา เป็นแฟรนไชส์ 100 สาขา และลงทุนเอง 30 สาขา ตั้งเป้าว่าในปี 2566 จะมี 1,170 สาขา เป็นร้านที่ลงทุนเอง 400 สาขา และร้านแฟรนไชส์ 770 สาขา ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าจะต้องอยู่ในปั๊มน้ำมันอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนร้านคอฟฟี่เวิลด์จะขยาย 20 สาขา เป็นการลงทุนเอง 10 สาขา และแฟรนไชส์ 10 สาขา ในปี 2566 จะมี 232 สาขา เป็นร้านที่ลงทุนเอง 56 สาขา และแฟรนไชส์ 176 สาขา
สำหรับสถานีบริการน้ำมัน PT มีสาขารวม 1,700 สาขา เป็นสาขาในกรุงเทพเพียงแค่ 140 สาขา นอกนั้นกระจายตามต่างจังหวัด ในปีที่แล้วมีรายได้รวม 107,000 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 140,000 ล้านบาท เติบโต 40% มีส่วนแบ่งตลาด 14% เป็นเบอร์ 2 รองจากปตท
สรุป
ตอนนี้ธุรกิจปั๊มน้ำมันทุกค่ายหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจ Non-oil เพราะกำไรดีกว่า และเทรนด์ผู้บริโภคที่เข้าปั๊มน้ำมันเพื่อต้องการพักรถ พักผ่อน ดื่มกาแฟ ซื้ออาหาร การที่ PTG ลงมาเล่นตลาดนี้จะยิ่งทำให้บริการครอบคลุมมากขึ้น เชื่อว่าทำให้การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นไปอีก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา