COVID-19 ทำให้หลายอุตสาหกรรมประสบปัญหาทางธุรกิจ แต่ไม่ใช่กับดีลเลอร์รถยนต์หรู เพราะ “ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ” ประธาน Primus Autohaus ดีลเลอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์รายล่าสุด ยืนยันว่า ธุรกิจยังโตต่อเนื่อง
เติบโตมากกว่าเป้าหมาย
แม้จะเป็นดีลเลอร์เบนซ์รายใหม่ของตลาด เพราะก่อตั้งมาเมื่อปลายปี 2562 แต่ Primus Autohaus ที่ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาโชว์รูม และศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รูปแบบใหม่ สามารถเติบโตได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่นในไตรมาส 3 ปี 2563 มียอดขายเพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีเดียวกัน
ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด ในเครือ TOA Venture Holding เล่าให้ฟังว่า ในปีนี้เป้าหมายที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งให้ที่ 660 คันแบ่งเป็นรถยนต์เมอร์เดสเบนซ์รุ่นปกติ 600 คัน และ AMG หรือรถรุนสมรรถนะสูง 60 คันจะถึงเป้าหมายแน่นอน และถึงสิ้นปีน่าจะทำได้ถึง 120% ของเป้าหมาย
“ยอมรับว่าการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ยอดขายในเดือนมี.ค-เม.ย. เงียบไประยะหนึ่ง แต่เราไม่ยอมแพ้ ผ่านการไม่ปลดพนักงาน และลงทุนเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโรค รวมถึงทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล และมีพนักงานขายนำรถยนต์ไปให้ลูกค้าเลือก ทั้งยังมีบริการรับรถจากบ้านของลูกค้ามาซ่อมบำรุงตามระยะทางเช่นกัน”
ไม่มีฐานลูกค้ายิ่งต้องขยัน
ด้วยการที่ Primus Autohaus เป็นดีลเลอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์รายใหม่ ทำให้แทบไม่มีฐานลูกค้าเดิม แม้จะตัว TOA Venture Holding จะทำตลาดรถยนต์มาแล้ว 2 แบรนด์คือ Suzuki และ MG แต่ด้วยแบรนด์รถยนต์ทั้งสองนั้นอยู่คนละตลาด ทำให้ตัวบริษัทต้องส่งแผนการตลาดมากมายเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาซื้อ และใช้บริการ
“เราใหม่ในตลาดนี้ และไม่มีฐานลูกค้าเลย ทำให้เราต้องขยันกว่าเดิม ไม่ใช่ใช้แค่ความเป็นศูนย์บริการใหม่ ใครๆ ก็อยากมาใช้บริการ โดยแนวคิดของผมนั้นไม่ใช่แค่การขายรถ แต่ทุกอย่างที่ทำไปต้องสร้าง CSI หรือ Customer Satisfaction Index ให้ได้ดีที่สุด เพื่อรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราในระยะยาว”
ทั้งนี้การทำตลาดเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้นค่อนข้างซับซ้อน ทำให้ Primus Autohaus ลงทุนเรื่องนี้จำนวนมาก เช่นการจ้างนักวิเคราะห์การซ่อมบำรุงถึง 5 คน จากปกติที่ศูนย์บริการขนาดเทียบเท่าบริษัทต้องมีขั้นต่ำ 3 คน รวมถึงการจัดกิจกรรมอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาในศูนย์บริการ
สินเชื้อเข้มงวดไม่กระทบ
“การตัดสินใจซื้อรถยนต์ ครอบครัวค่อนข้างมีส่วนร่วมเยอะ ทำให้การจัดกิจกรรมต่างๆ มันช่วยได้ ซึ่งถึงตอนนี้เราจัดกิจกรรมไป 20-30 ครั้ง และที่ดีคือ ยอดสั่งซื้อของเราแทบไม่มีผลกระทบจากบริษัทสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นในเวลานี้ หรือถ้ามีก็แค่ 1-2% เท่านั้น”
สำหรับยอดขายของ Primus Autohaus มาจากรถยนต์ระดับ C-Class ขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่ม E-Class และ SUV รุ่นต่างๆ นอกจากนี้ลูกค้าของบริษัทยังเป็นกลุ่ม Fleet หรือรถยนต์เพื่อใช้งานในองค์กร ซึ่งกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนรถยนต์ตามระยะเวลา และมีความน่าเชื่อถือ ตัวธุรกิจของบริษัทจึงเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“TOA Venture Holding เน้นการทำตลาดรถยนต์ด้วย 3 หลักการคือ ลูกค้า, บริการหลังการขาย และสินค้า ซึ่งตัวลูกค้าต้องได้รับบริการที่ดีที่สุด เพื่อให้เขาชื่นชอบ และให้เราเป็นเหมือนพาร์ทเนอร์ ส่วนบริการหลังการขายก็ช่วยให้เขาสบายใจในการขับขี่ สุดท้ายคือสินค้าต้องหลากหลาย เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกระดับ”
ดันพอร์ตรถยนต์ขึ้นอันดับ 1
ธุรกิจของ TOA Venture Holding ประกอบด้วยรถยนต์, สีอุตสาหกรรม, เคมีภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์ (ห้างสรรพสินค้า Don Don Donki) โดยรายได้จากสุอุตสาหกรรมยังกินสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 46% รองลงมาเป็นรถยนต์ 42%, เคมีภัณฑ์ 8% และอสังหาริมทรัพย์ 3% รวมกันทำรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท
“อนาคตตัวรถยนต์อาจขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ TOA Venture Holding ได้ เพราะก่อนหน้านี้เรามีแค่รถ Eco Car, SUV และรถกระบะ แต่พอได้รถยนต์หรูเพิ่มเข้ามาก็ทำให้ความหลากหลายมีมากขึ้น โดยเชื่อว่า 50% ของรายได้ต้องมาจากธุรกิจรถยนต์ในเวลาอันใกล้”
เป้าหมายของ TOA Venture คือการทำให้ภาพรวมธุรกิจเติบโต 6% โดยนอกจากการขยายธุรกิจรถยนต์ ฝั่งธุรกิจสีอุตสาหกรรมจะเริ่มขยายไปในต่างประเทศมากขึ้น เช่นสีสำหรับทาเรือที่ทำให้เพรียงไม่เกาะ เพื่อทำให้เรือประหยัดน้ำมัน รวมถึงการเปิดสาขาใหม่ของ Don Don Donki ในปี 2564 เช่นกัน
สรุป
หากพูดถึงฝั่งรถยนต์หรู ทุกอย่างน่าจะยังไปได้ดีอยู่ เพราะกำลังซื้อของผู้ซื้อรถยนต์กลุ่มนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 มากนัก แต่ในอนาคตหากโรคดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ปัญหา TOA Venture Holding ก็ต้องปรับตัว และพยายามกระจายความเสี่ยงออกไปในธุรกิจอื่นๆ ด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา