ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย มีความรุนแรงมากขึ้น หลายๆ บริษัทเริ่มอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work From Home) ได้ แต่หลายคนอาจกังวลว่าการทำงานที่บ้านจะทำให้คุณโดนไล่ออกจากงานหรือเปล่า เพราะงานบางอย่างไม่สามารถทำที่บ้านได้ 100%
ที่ผ่านมากรุงเทพมหานคร ได้ออกคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ รวมถึงสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้พนักงานที่ทำงานในสถานที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะบางคนได้รับเงินค่าจ้างเป็นรายวัน หากไม่เข้าไปทำงานก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทนไปโดยปริยาย
ซึ่งในภายหลังสำนักงานประกันสังคมได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยสามารถรับเงินชดเชยได้สูงสุด 50% ของค่าจ้างที่ได้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
ส่วนงานชนิดอื่นๆ ที่แม้บริษัทจะอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ แต่พนักงานหลายคนอาจเกิดความสงสัยว่า ทำงานที่บ้าน ไม่ได้เข้าไปที่สำนักงาน แล้วบริษัทจะสามารถประเมินผลการทำงานได้อย่างไร และการทำงานที่บ้านจะทำให้โดนไล่ออกจากงานหรือไม่
เนื่องจากการทำงานที่บ้านเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย ในกฎหมายแรงงานก็ไม่ได้มีการพูดถึงว่าการทำงานที่บ้าน ดังนั้นการจะตัดสินได้ว่าการทำงานที่บ้านจะทำให้คุณมีความเสี่ยงโดนไล่ออกจากงานหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคงเป็นการพูดคุยกับผู้ประกับการว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันควรอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน จะเป็นการลดความเสี่ยงของพนักงานทุกคน
แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างหนัก แต่มาตรการที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้พูดถึงการให้สิทธิพนักงานทำงานที่บ้านแต่อย่างใด มีแต่การพูดถึงการจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานในกรณีลาป่วย รวมถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 มีเพียงบางรัฐเท่านั้นที่ประกาศให้พนักงานทุกคนทำงานที่บ้าน 100% ไม่มีข้อยกเว้น
6 วิธีทำงานที่บ้านยังไง ไม่โดนไล่ออกแน่นอน
ในความจริงแล้ว แม้ว่าพนักงานจะได้รับอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ แต่บริษัทยังคงสามารถประเมินผลการทำงานของพนักงานได้เช่นเดิม เหมือนสถานการณ์ปกติที่พนักงานเดินทางไปทำงานในที่ทำงาน
ทำงานให้มีคุณภาพอยู่เสมอ แม้จะไม่ได้นั่งทำงานที่สำนักงาน แต่งานที่ทำก็ต้องมีคุณภาพเช่นเดิม เพราะการทำงานที่บ้าน เป็นเพียงการเปลี่ยนสถานที่ทำงานเท่านั้น แต่คุณภาพงานเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้เช่นเดิม รวม
ทำงานให้เสร็จตามเวลา การทำงานที่บ้านควรจะทำงานให้เสร็จตามเวลาเช่นเดิม และควรต้องประเมินตัวเองว่าปริมาณงาน ความยากง่าย เหมาะสมกับเวลาที่ใช้ไปหรือไม่ รวมถึงควรใช้เวลาใกล้เคียงกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ทำงานในตำแหน่งคล้ายๆ กัน
ทำงานให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การทำงานตามเป้าหมายที่ได้วางไว้เป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงมากที่สุด โดยเฉพาะเป้าหมายของบริษัท หรือของธีม ซึ่งในความจริงแล้วไม่ว่าจะทำงานที่ไหน คุณก็สามารถทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายของบริษัทได้
มีปฎิสัมพันธ์กับที่ทำงานบ้าง การสื่อสารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับการทำงาน ยิ่งทำงานที่บ้านต้องยิ่งสื่อสารให้มากขึ้น ในบางครั้งบริษัทอาจมีการติดต่อสื่อสารกับพนักงานทุกคนผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล หรือแม้แต่การประชุมแบบ VDO Conference
ส่วนในมุมของบริษัท ก่อนที่จะอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน ควรมีการกำหนดวิธีปฎิบัติ และทำความเข้าใจกับพนักงานทุกๆ คนร่วมกัน ดังนี้
กำหนดช่วงเวลาการประชุมเป็นประจำ ทั้งการประชุมกับทีม และกับพนักงานแต่ละคน ซึ่งการประชุมในที่นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะการประชุมอย่างจริงจังเท่านั้น แต่รวมถึงการพูดคุยเรื่องอื่นๆ สอบถามความคิดเห็นของพนักงาน วิธีการทำงานในแต่ละวัน ความท้าทายในการทำงาน เพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานของพนักงานด้วยเช่นกัน
กำหนดบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจน การทำงานที่บ้านบริษัทควรกำหนดบทบาท หน้าที่ และการทำงานของพนักงานแต่ละคนให้เรียบร้อย รวมถึงต้องอธิบายพนักงานให้ชัดเจนด้วยว่าลักษณะงานเป็นอย่างไร
กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน บริษัทควรกำหนดเป้าหมายการทำงานให้พนักงานตั้งแต่เริ่มทำงานที่บ้านในวันแรก และต้องทำความเข้าใจกับพนักงานให้ชัดเจนว่าบริษัท หรือทีมมีความคาดหวังอะไรจากพนักงานบ้าง โดยเฉพาะกรอบเวลา ที่พนักงานต้องทำงานให้สำเร็จ
กำหนดช่องทางในการสื่อสารให้ชัดเจน การทำงานที่บ้านพนักงานแต่ละคนจะมีโอกาสที่จะคุยงานกันแบบตัวต่อตัวยาก ดังนั้นช่องทางการสื่อสารต้องมีการกำหนดให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ อีเมล หรือแอปพลิเคชันสำหรับคุยงานอื่นๆ และพนักงานทุกคนควรใช้ช่องทางเดียวกันในการสื่อสาร เพื่อป้องกันความสับสนจากการสื่อสาร
ที่มา – cnbc, employment buddy
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา