กลุ่มพูลผล เดินหน้าองค์กรสู่เป้าหมาย ด้วย 4 ธุรกิจหลัก มุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ เติบโตเคียงข้างสังคมไทย 

ดนัยธนิต พิศาลบุตรกรรมการผู้จัดการ กลุ่มพูลผล เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นของ กลุ่มพูลผลดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย โดยร่วมพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยตลอดระยะเวลากว่า 83 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจที่ขยายตัวรองรับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยและคู่ค้า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่กลุ่มพูลผล ประสบความสำเร็จไปอีกขั้นด้วยรายได้กว่า 60,000 ล้านบาท จาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด พร้อมต่อเนื่องความสำเร็จในปีนี้ โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรไทย มุ่งพัฒนาสินค้าบริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่กลุ่มผู้บริโภค และการบริหารงานด้วยความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจถือเป็นสำคัญ  

โดยแผนกลยุทธ์หลักในปีนี้ “กลุ่มพูลผล” ชูแผน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก จากวิสัยทัศน์ผู้บริหาร ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนให้ครอบคลุมทุกมิติสังคม ผู้บริโภคและเศรษฐกิจไทย ด้วยจุดแข็งใน “ธุรกิจการเกษตรที่เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจเรือธง ซึ่งมีกระบวนการต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรและอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรไทย และตามด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลยุทธ์ที่ผนึกความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มพูลผลด้วยการเน้นเป้าหมาย มอบความครบครันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยอาณาจักรกลุ่มพูลผล แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้  

1. ธุรกิจการเกษตร ผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เกษตรไทย มีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย “น้ำมันพืชกุ๊ก” โดย บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด ซึ่งยกระดับเป็นอาหารสุขภาพระดับเวิลด์คลาส ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันคาโนลา กับการก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจโรงสกัดน้ำมันพืชในระดับอาเซียน ที่ขยายกำลังการผลิตรองรับการเติบโตของตลาดเอเชีย การันตีด้วยรางวัล Superbrands 8 ปีซ้อน พร้อมขยายตลาดส่งออกไปมากกว่า 15 ประเทศในเอเชีย รวมถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นอกจากน้ำมันพืช ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ “กากถั่วเหลือง” แหล่งโปรตีนที่สำคัญของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาค โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานระดับสากล ภายใต้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยของเสีย ด้วยเป้าหมายก้าวสู่องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions)

วุ้นเส้นต้นสนโดย บริษัท สิทธินันท์ จำกัด ได้ครองใจคนรักสุขภาพ ตอกย้ำความเป็นแบรนด์พรีเมียม โดยคว้ารางวัล Superbrand 7 ปีซ้อน ความโดดเด่นคือ เป็นวุ้นเส้นที่ผลิตจากแป้งถั่วเขียว 100% เส้นเหนียวนุ่ม อร่อย และแบบไม่ฟอกสีที่มีสีเขียวธรรมชาติจากเปลือกถั่วเขียว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด พร้อมคุณสมบัติดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและผู้บริโภคยุคใหม่ นอกจากความแข็งแกร่งในประเทศ ยังได้ขยายการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งสอดรับกับเทรนด์สุขภาพระดับโลกที่มาพร้อมความอร่อย นอกจากนี้ ยังต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มซอสและเครื่องปรุง น้ำจิ้มสุกี้และซอสผัดไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่ช่วยผลักดันอาหารไทยให้เติบโตในเวทีโลก ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ  

เอสเอ็มเอส กรุ๊ป ผู้นำด้านนวัตกรรมแป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified Tapioca Starch) มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดผลิตผลการเกษตรของไทยสู่ตลาดโลกด้วยนวัตกรรมและคุณภาพ โดยมีการส่งออกแป้งมันสำปะหลังดัดแปรคุณภาพสูงกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จุดเด่นของแป้งมันสำปะหลังดัดแปรคือ สามารถตอบสนองความต้องการได้หลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัสและความคงตัวของผลิตภัณฑ์อาหาร, อุตสาหกรรมยา ช่วยในการยึดเกาะตัวยา ปรับปรุงการไหลของผงยา และเพิ่มความคงตัวของยาในยาเม็ดและแคปซูล, อุตสาหกรรมพลาสติกย่อยสลายได้ เพื่อต่อยอดในการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร ถุงพลาสติก และผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วทิ้งต่างๆ ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังดัดแปรคุณภาพสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภคทั่วโลก 

2. ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภายใต้บริษัท ซี.อี.เอส. จำกัดเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานด้วยประสบการณ์มากกว่า 60 ปี ด้วยบริการรับเหมาก่อสร้างงานอาคารทุกประเภท ร่วมสร้างและพัฒนาโครงการและแลนด์มาร์คสำคัญของไทย ประเภทอาคารสำนักงานชั้นนำ โรงแรมระดับอัลตร้าลักชัวรี่ โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์การค้าชั้นนำ ศูนย์ประชุมงานนิทรรศการ ไปจนถึงโกดังคลังสินค้าที่รองรับระบบ ASRS หรือ การจัดเก็บเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ ทำให้การจัดการคลังสินค้ามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปีนี้ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ในการรุกตลาด (New Growth Potential) ด้วยการขยายธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรม พร้อมตั้งเป้ารายได้ 4,000 ล้านบาทภายในปี 2570

3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพทย์ด้วยระบบมาตรฐานสากล ด้วยโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่บนที่ดินกว่า 600 ไร่ ภายใต้ชื่อ “Future City Rangsit” คุณภาพครบครันสู่ความยั่งยืน เป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ที่ครบครันในย่านรังสิต-ปทุมธานี ประกอบด้วย ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ขึ้นชื่อว่าเป็นมหานครค้าปลีก มีร้านค้ารวมกว่า 1,000 ร้าน บนพื้นที่ 600,000 ตารางเมตร, โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ที่มอบประสบการณ์พักผ่อนและบริการเหนือระดับพรีเมียม ตลอดจนสำนักงานออฟฟิศมาตรฐานสากล โรงพยาบาล ร้านอาหารชั้นนำ ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ 

นอกจากนี้ ยังได้แผ่ขยายพื้นที่ครอบคลุมไปยังฝั่งโซนตลาดสดวิถีไทย หรือ “ตลาดรังสิต” ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ใจกลางรังสิต ที่มีแผงค้าให้จับจ่ายใช้สอยมากถึง 2,200 แผง พร้อมด้วยที่พักอาศัยมากกว่า 700 ยูนิต ทั้งมี Rangsit Hub ท่ารถตู้โดยสารและการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอย่างครบวงจร ถือว่าเป็นการลงทุนศักยภาพสูงสุดหนึ่งเดียวในโซนกรุงเทพตอนเหนือ ที่ผ่านการพัฒนาพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 4 ปี เกิดความก้าวหน้าเกิน 80% ที่พร้อมไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจบริการบริหารจัดการอาคารทุกประเภท เป็นตัวแทนจัดหาผู้ซื้อ-ผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ซ่อมบำรุง รักษาความสะอาด ด้วยคุณภาพมาตรฐานงานบริการ ISO 9001:2000 และ ISO 9001:2015 

4. ธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ โดยบริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ให้บริการท่าเรือและคลังสินค้า ในทำเลยุทธศาสตร์ รวม 7 สาขาทั่วประเทศ ที่พร้อมขยายเครือข่ายมอบบริการครบวงจร การลงทุนล่าสุดได้มีการเปิด คลังสินค้าใหม่ แหลมฉบัง 1 – 2 เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC ที่สอดรับกับเม็ดเงินการลงทุนของคู่ค้าธุรกิจสำคัญ อย่างเช่น สิงค์โปร์, จีน, ฮ่องกง, ใต้หวัน และญี่ปุ่น ที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และบริษัท พูลอุดม จำกัด เน้นนำอุปกรณ์เครื่องมือขนถ่ายสินค้าแบบไฟฟ้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพที่แม่นยำและลดการใช้พลังงานฟอสซิลที่ตอบโจทย์กับโลกปัจจุบันใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งกลุ่มธุรกิจนี้มีหมุดหมายสำคัญในการหาพันธมิตรที่มีศักยภาพควบคู่กับจริยธรรม เพื่อก่อให้เกิดช่องทางการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเติมในอนาคต

ดนัยธนิต กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มพูลผล มีการส่งออกกลุ่มการเกษตร โดยเฉพาะแป้งมันสำปะหลังดัดแปร ซึ่งครอบคลุมกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ กลุ่มนี้สามารถนำรายได้เข้าประเทศกว่า 80% โดยมีการขยายฐานการส่งออกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเทียบกับช่วงที่ผ่านมาจากนโยบายของภาครัฐ ที่มีการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในการขยายเพิ่มคลังสินค้าเพื่อรองรับการขยายตัวดังกล่าว  

ด้วยวิสัยทัศน์ และค่านิยมของ “กลุ่มพูลผล” ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กร ด้านความซื่อสัตย์สุจริตการทำงานให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นรากฐานของทุกบริษัทในเครือ โดยเป็นหัวใจสำคัญของที่คณะผู้บริหารและประธานของกลุ่มฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงพนักงานภายในองค์กรเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ปฎิบัติต่อกลุ่มลูกค้าและคู่ค้าธุรกิจ ทั้งการสร้างผลตอบแทน ทิศทางดำเนินงานที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนกลุ่มพูลผลเดินหน้าจนได้รับความเชื่อมั่นและเสียงชื่นชมจากลูกค้าและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  

“ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้วัดจากการเติบโตระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถปรับตัวยืนหยัดในระยะยาว เพราะเรามองความยั่งยืนสร้างฐานสู่อนาคตเพื่อคนรุ่นต่อไป” นายดนัยธนิต กล่าว 

กลุ่มพูลผล ได้วางทิศทางองค์กรเพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่วางไว้ สอดรับนโยบายภาครัฐ ภาคสังคม ผู้บริโภค และแนวคิดความยั่งยืน (Sustainability) เน้นส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการบริหารองค์กรเพื่อมุ่งสู่ระดับสากล ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้กลุ่มพูลผลเติบโตได้อย่างดีตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้วางรากฐานสู่การพัฒนาต่อยอดในอนาคต โดยพร้อมเดินหน้าเติบโตเคียงคู่เศรษฐกิจไทย และเป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกในยุคที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนี้  

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา