เมื่อการเมืองฝุ่นตลบ! มุมมองบล.กสิกรไทย-ทิสโก้ หุ้น SET ครึ่งหลังปี 2019 ต้องลงทุนอย่างไร?

ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. 2019 ทำให้คนไทยและต่างชาติเริ่มมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะเดินไปข้างหน้า แต่ปัจจุบันผลการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน มีเหตุการณ์ทางการเมืองหลายอย่าง

ช่วงสงกรานต์และครึ่งหลังปี 2019 นี้ นักลงทุนต้องเตรียมตัว และปรับพอร์ทอย่างไร?

ภาพจาก Shutterstock

บล.กสิกรไทยลุ้นจัดตั้งรัฐบาลครึ่งปีแรก หวังดัชนี SET แตะ 1,750 จุด

ภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (บล.กสิกรไทย) บอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังต้องจับตาปัจจัยในประเทศเป็นหลัก รวมถึงผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล หากไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในครึ่งปีแรกมองว่าเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2019 จะอยู่ที่ 1,750 จุด แต่หากจัดตั้งรัฐบาลหลังจากนั้นทางบริษัทอาจปรับดัชนีเป้าหมายหุ้นไทยลงลง 2-4%

แต่ในระยะสั้นมองว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวที่ 1,600-1,675 จุด เพราะช่วงนี้การซื้อขายในตลาดหุ้นยังน้อยเพราะนักลงทุนต่างชาติยังรอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติยังไม่ไหลเข้าไทยมากนัก

ทั้งนี้มองว่าพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่ โดยผลประกอบการไตรมาส 1/62 ของหุ้นในตลาดไทยจะออกมาดี เพราะในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีหุ้นแนะนำ เช่น

  • SCC      – บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC
  • BGRIM – บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) 

นอกจากนี้เมื่อการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นผู้มีรายได้น้อย หลังจากนี้อาจจะเห็นนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างจังหวัด จะทำให้รายได้ภาคเกษตร และรายได้นอกภาคเกษตรปรับตัวดีขึ้น โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ ได้แก่

  • CPALL   – บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 
  • BJC       – บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) 
  • HMPRO – บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 
ภาพจาก Shutterstock

บล.ทิสโก้เชื่อไม่ว่าพรรคไหนจัดตั้งรัฐบาล สิ้นปีดัชนีหุ้นไทยแตะ 1,800 จุด

วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ บอกว่า เดือนพ.ค. 2019 คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะ 1,700 จุด ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเป็นผ่านจัดตั้งรัฐบาล และสิ้นปี 2019 ยังคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะแตะ 1,800 จุด เพราะมีสัญญาณดีจากหลายด้าน

ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากการอนุมัติโครงการต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งจะช่วยให้กำไรบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นตามมา ประกอบกับหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์ในเชิงบวกจากการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เรื่องการนำหุ้นเข้าคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market  ซึ่งคาดว่จะมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยประมาณ 5 หมื่นล้านบาท”

ในเดือนเม.ย. 2019 มีหุ้นแนะนำ 4 กลุ่มได้แก่

  • กลุ่มหุ้นที่ราคาน่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของ MSCI คือ
    • BDMS  – บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)        
    • SCC     – บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)               
    • CPN     – บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)              
    • LH        – บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
  • กลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ ทั้งการบริโภคและการลงทุน คือ
    • MINT    – บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) 
    • STEC    – บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
    • AMATA  – บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
    • WHA     – บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • กลุ่มหุ้นที่คาดว่าแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 1/2562 จะออกมาดี คือ
    • JWD      – บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)
    • ANAN    – บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 
    • ROJNA   – บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) 
    • SEAFCO – บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน)
  • กลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลบวกเมื่อนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อคืน คือ
    • BBL       – ธนาคารกรุงเทพ
    • PTTEP    – บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

สรุป

ว่ากันว่าถ้าการเมืองมีเรื่องแปลกขึ้นเท่าไร แสดงว่าสถานการณ์ยิ่งกดดันมากขึ้นเท่านั้น นอกจากการเมืองจะฝุ่นตลบแล้ว เศรษฐกิจยังชะลอไปด้วย เพราะเงินนักลงทุนยังไม่กล้าขยับ แต่ถ้าอยากลงทุนต้องจับตาผลการเลือกตั้งอย่งใกล้ชิด

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

จากนักข่าวการเงินหนังสือพิมพ์ธุรกิจย่านประชาชื่น ผันตัวเข้าโลกออนไลน์ ความท้าทายครั้งใหม่คือการเล่าเรื่องเงินให้เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง