Lawrence Wong นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์: ให้เกียรติอดีต แต่ไม่ให้อดีตขีดชะตาชี้นำประเทศ

ชวนอ่านสุนทรพจน์ ผู้นำคนใหม่ของสิงคโปร์ เขาให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง? หลังได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกหลังวันชาติ

ให้เกียรติอดีต แต่ไม่ให้อดีตมาครอบงำชะตากรรมของประเทศ
เพิ่มสร้างอนาคตให้ประเทศสดใสและแข็งแกร่งกว่าเดิม

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ตามธรรมเนียมสิงคโปร์แล้วนายกรัฐมนตรีจะต้องออกมากล่าวสุนทรพจน์ แถลงนโยบายในวันอาทิตย์แรกหรืออาทิตย์ที่สองหลังวันชาติ ซึ่งก็คือวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง

ปัจจุบัน Lawrence Wong ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์แทน Lee Hsien Loong แล้ว เขาขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา และนี่เป็นสุนทรพจน์ทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของผู้นำคนใหม่ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้กล่าวสปีช

นโยบายในช่วงเปิดตัวว่าที่นายกรัฐมนตรี Wong แรกๆ ที่ถูกโปรโมตอย่างมากว่า เขาจะเตรียมเก็บภาษีคนรวย เดี๋ยวเรามาดูกันว่าในเนื้อหาที่กล่าวสุนทรพจน์ เขาจะพูดถึงเรื่องนี้บ้างไหม ?

Lawrence Wong
Image from MDDI by Chwee

กล่าวขอบคุณผู้นำยุคก่อนหน้าอย่างจริงใจ
ตามด้วยเล่าประสบการณ์รับใช้ชาติที่สั่งสมมา

Lawrence Wong เปิดตัวได้ดี ราบรื่น และเรียกพลังให้คนที่เข้ามาฟังเขาได้มาก เขาเริ่มต้นด้วยการแสดงความให้เกียรติแก่อดีตผู้นำ หรืออดีตนายกรัฐมนตรียุคก่อนของสิงคโปร์ เขาแสดงความขอบคุณและสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำก่อนหน้านี้ได้มีบทบาทในการสร้างสิงคโปร์ให้แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไร

เขาในฐานะประชาชนได้รับประโยชน์จากนโยบายของบรรดาผู้นำก่อนหน้าอย่างไร เช่นการก่อตั้งโรงเรียนที่ไม่ไกลนัก ทำให้เขาได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาได้เรียนโรงเรียนที่ใช้เวลาเดินทางไกลมากจนไม่ได้ไปเรียน และนั่นคือผลพวงจากนโยบายของ Goh Chok Tong ที่ในเวลาต่อมาเขายังได้รับรางวัลด้านการศึกษาเมื่อเขาโตขึ้นอีกด้วย

จากนั้นก็เล่าว่า เขาขึ้นมาเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี Lee Hsien Loong ได้อย่างไร และเล่าเส้นทางที่เขาเติบโตจากการช่วยเหลืองานของนายกรัฐมนตรี

Wong เล่าว่าเขาสั่งสมประสบการณ์จากการรับใช้ประชาชนผ่านการช่วยเหลือผู้นำประเทศอย่างไร ทำให้ในที่สุดเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีเรื่องการเมืองฝังลึกเข้าไปในจิตใจมากขึ้น จากนั้นก็เล่าว่าตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา เขาได้มีโอกาสทำงานในกระทรวงต่างๆ และได้เรียนรู้งานมากมายจากเหล่าเพื่อนร่วมงานอาวุโสในคณะรัฐมนตรี

เขาพบว่าระบบการเมืองจะไม่มีทางมีประสิทธิภาพได้หากขาดนักการเมืองที่มีประสิทธิภาพ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาออกมาทำหน้าที่รับใช้ประชาชน แม้จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้น แต่ยืนยันว่า เขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

เรื่องที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ให้ความสำคัญ 3 เรื่องใหญ่

ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์

Lawrence Wong มองว่านี่คือเรื่องที่ใหญ่ที่สุด เมื่อมีการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทุกคนกำลังจับตาดูว่าใครจะมาช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการายต่อไป ฝั่งจีนก็เชื่อว่าอเมริกาก็พยายามจะป้องปรามเมื่อจีนผงาดขึ้นเช่นกัน ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันก็จะดำเนินต่อไป

Wong มองว่า ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์เชิงขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจโลกเท่านั้นที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ แต่มันมีมิติทางการค้าระหว่างประเทศ การเมือง และความร่วมมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ประเทศขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาการค้าที่ต้องอาศัยโลกที่มีเสถียรภาพ ย่อมต้องได้รับผลกระทบอยู่แล้ว

ประเด็นเทคโนโลยี

เรากำลังอยู่ในช่วงที่มีการแข่งขัน การดิสรัปทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เราล้วนได้รับผลกระทบจากอินเทอร์เน็ตมากว่า 30 ปีแล้ว ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก็มีอิทธิพลกับชีวิตเรามากขึ้น มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้และการทำงานของเรา เราจะร่วมมือหรือปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร

ประเด็นวิกฤตสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

ภัยคุกคามมีอยู่ทั่วโลก เราจะต้องช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ทั้งในแง่วิถีชีวิตไปจนถึงวิธีการการดำเนินการธุรกิจ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายจากสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อป้องกันตัวเองจากสภาวะโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น

เราจะต้องรอบคอบ ให้เกียรติและเคารพอดีต เราต้องกล้าหาญและไม่ปล่อยให้อดีตมาจำกัดขีดความสามารถหรือขีดเส้นชะตาในอนาคตได้ เราต้องเปลี่ยนสังคมใหม่ ทำให้ชาวสิงคโปร์รู้สึกว่ามีความหวัง เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ด้านเศรษฐกิจ

Wong กล่าวว่า บางครั้งผู้คนก็กล่าวหาว่ารัฐบาลหมกมุ่นกับศักยภาพทางเศรษฐกิจมากเกินไป ซึ่งตัวเขาเองก็พยายามทำให้เศรษฐกิจเติบโต เพื่อสร้างโอกาสและทำให้คุณภาพชีวิตชาวสิงคโปร์ดีขึ้น ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะถัดไปก็น่าจะยากลำบากมากขึ้น เพราะต้องแข่งขันในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่าง

เขายกตัวอย่างว่า เมื่อก่อนประเทศที่พัฒนาแล้วมีความสุขกับการมีแหล่งผลิตวัตถุดิบที่ถูกกว่าในกลุ่มประเทศในเอเชีย เมื่อก่อนคนจะพูดว่า คิดค้นในแคลิฟอร์เนีย ผลิตในจีน แต่ปัจจุบันยุคนี้จบแล้ว กลายเป็นสโลแกนใหม่ คิดค้นในแคลิฟอร์เนีย ผลิตในสหรัฐอเมริกา

ยุโรปและประเทศพัฒนาแล้วล้วนใช้แนวทางดียวกัน คือสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่และปรับห่วงโซ่อุปทานที่เอื้ออำนวยให้แก่ประเทศเหล่านั้น ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาก็พยายามขับเคลื่อนสูงขึ้นมาก พวกเขาต่างไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จีนเองก็มียุทธ์ศาสตร์ “Made in China 2025”

ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีตัวเองมากขึ้น ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อจะยังคงสถานะในการแข่งขันต่อไปได้ ต้องทำงานหนักเพื่อที่จะผลักดันให้ผลิตภาพและนวัตกรรมอยู่ในระดับแนวหน้า เหล่านี้คือเหตุผลว่าทำไมต้องลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีอย่างหนัก

Wong ได้พบปะกับผู้นำระดับซีอีโอจากหลากหลายองค์กร พวกเขาต่างก็มองว่าในโลกที่มีแต่ปัญหารอบด้าน ประเทศสิงคโปร์ยังมีเสถียรภาพ เชื่อมั่นและยังไว้วางใจได้ ดังนั้น สิงคโปร์ก็จะหาทางดึงดูดให้มีการลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมในการแข่งขันมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศเองก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ความรู้เพื่อที่จะเติบโตและขยายตัวไปยังต่างประเทศได้

เราจะส่งเสริมจิตวิญญาณด้านนวัตกรรมและองค์กรต่างๆ ให้มากขึ้น

สิ่งแรกที่จะทำก็คือ สร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นมิตร ลดกฎระเบียบ การกำกับที่เป็นภาระให้น้อยลง​ (ซึ่งก็เริ่มทำบ้างแล้วเช่นกฎระเบียบเกี่ยวกับการใช้โดรน ทำให้ประชาชนเสียเวลาจากการจัดการตามกฎน้อยลง ประหยัดเงินสำหรับการดำเนินการมากขึ้น)

เดินหน้าอัดความรู้ ให้คนทำงานพัฒนาตัวเองเข้มข้น
โครงการใหม่ SkillsFuture Level-Up 

ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไปจะได้รับการเติมเงิน 4,000 เหรียญสิงคโปร์หรือประมาณ 1 แสนกว่าบาทที่เพิ่มให้ในเดือนพฤษภาคม เพื่อใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่ เขามองว่า การยกระดับทักษะต้องใช้ระยะเวลา คุณไม่สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้จากการเรียนหลักสูตรแค่ 1-2 วัน

พนักงานจะต้องมีเวลาหยุดงานเพื่อไปฝึกอบรมได้เต็มเวลา พวกเขาอาจไม่ได้รับเงินและต้องการความช่วยเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน สำหรับปีหน้าก็จะมีเบี้ยเลี้ยงสำหรับการฝึกอบรมภายใต้โปรแกรม SkillsFuture Level-Up

หากมาเรียนเต็มเวลาก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงที่ 3,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อเดือนหรือประมาณ 78,000 บาท โดยมีเบี้ยเลี้ยงรวม 24 เดือน คิดเป็น 72,000 เหรียญสิงคโปร์หรือประมาณ 1.8 ล้านบาทต่อคน

Wong มองว่าเป็นไปได้ยากที่จะเพิ่มทักษะตัวเองและทำงานไปด้วยได้ สิ่งที่เขาทำก็คือ ให้คนทำงานมาหาทักษะความรู้ แต่ก็เพิ่มความรู้ด้วยการลงเรียนตามหลักสูตรต่างๆ พร้อมจัดหาเบี้ยเลี้ยงให้

จัด Workfare ให้: ช่วยเหลือคนรายได้น้อยและเปราะบาง

โครงการนี้ได้มีการหารือกับพ่อแม่พี่น้องจาก NTUC สหภาพแห่งชาติด้านอุตสาหกรรม และกลุ่มเคลื่อนไหวด้านแรงงาน มีโครงการใหม่ให้ นั่นก็คือ SkillsFuture Jobseeker Support

โครงการนี้จะให้ความเชื่อเหลือกรณีที่คุณต้องว่างงาน รัฐบาลจะให้ความสนับสนุนทางการเงิน 6,000 เหรียญสิงคโปร์หรือประมาณ 1.5 แสนบาท เป็นระยะเวลาสูงสุดที่ 6 เดือน สิ่งนี้จะทำให้คุณฟื้นคืนกลับมาได้แข็งแกร่ง

ไม่ใช่แค่ให้เงินอุดหนุนเมื่อว่างงาน แต่ยังมีการฝึกอบรมให้ มีบริการจัดหางานให้ เหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คือการช่วยส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจสิงคโปร์รวมทั้งสนับสนุนชาวสิงคโปร์ทุกคน เศรษฐกิจจะโตได้ต้องสร้างโอกาสและสร้างงานให้กับทุกคน

ทั้งหมดนี้ก็คือ ภาคแรกของการชูนโยบายที่ Lawrence Wong ให้ความสำคัญผ่านการกล่าวสุนทรพจน์หลังวันชาติครั้งแรก ระยะเวลายาวนาน 1 ชั่วโมงครึ่งที่ทรงคุณค่ามากจากผู้นำในประเทศขนาดเล็กแต่มีศักยภาพสูงอันดับต้นๆ ของโลก เดี๋ยวมาตามต่อภาค 2 ในบทความถัดไป มาดูกันว่าเรื่องไหนที่เขายังให้ความสำคัญอีก

ที่มา – CNA

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา