คุณคิดว่า ‘แฟชั่น’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ จะไปด้วยกันได้ไหม?
แม้ปากเราจะพูดกันว่า “ต้องรักษ์โลกนะ” แต่ ‘ฟาสต์แฟชั่น’ (Fast Fashion) ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มาแรงมากๆ ในปี 2025
‘Heuritech’ บริษัทแฟชั่นเทคโนโลยีที่เน้นด้านการวิเคราะห์เทรนด์ต่างๆ ในวงการ คาดว่า ตลาดนี้จะโตขึ้นจาก 4.9 ล้านล้านบาทในปี 2025 เป็นเกือบ 7 ล้านล้านบาทในปี 2029
แล้วถามว่ามันเกี่ยวอะไรกับการรักษ์โลก? คำตอบคือ ปัจจุบัน อุตสาหกรรมแฟชั่นมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกไปถึง 1.2 พันล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่แบรนด์เสื้อผ้าปล่อยคอลเล็กชันใหม่ถี่มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่มาเร็วไปเร็ว
จนตอนนี้ อุตสาหกรรมแฟชั่นปล่อยคอลเล็กชันใหม่ถึง 52 ครั้งต่อปีแล้ว หรือเอาง่ายๆ คือทุกสัปดาห์เลยนั่นเอง
ท่ามกลางกระแสฟาสต์แฟชั่นที่สวนทางกับโลกของเราที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ยังมี ‘Pipatchara’ แบรนด์แฟชั่นฝีมือคนไทยที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนอยู่
จุดยืนของ Pipatchara คืออะไร? มาดูกัน
พี่ชอบความยั่งยืน น้องชอบแฟชั่น
Pipatchara เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดยสองสาวพี่น้องอย่าง ‘เพชร-ภิพัชรา แก้วจินดา’ และ ‘ทับทิม-จิตริณี แก้วจินดา’
ภายในงาน Regional Trade Exponential Fest 2025 ‘เพชร’ เล่าว่า ตนเรียนด้านแฟชั่นมาตั้งแต่เด็กจนโต ขณะที่ ‘ทับทิม’ ผู้เป็นพี่สาว ก็ทำงานเพื่อสังคมมาตลอด โดยทั้งคู่มีความชอบร่วมกันคืองาน ‘Art & Craft’ (ศิลปะและหัตถกรรม)
“ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนที่เพชรบอกว่าอยากทำแบรนด์ ตอนนั้นทับทิมก็บอกว่า ไม่ได้สนใจ ไม่ได้มีแพสชันด้านแฟชั่น เพราะว่าทำงานด้านสังคม ด้าน Sustainability มาตลอด เพราะฉะนั้น แบ็กกราวนด์ก็จะค่อนข้างต่างชัดเจน ก็เลยคุยกันว่า ถ้าเราจะทำแบรนด์ด้วยกัน มันต้องมีส่วนที่ทำเกี่ยวกับ Sustainability หรือ Community”
จนสุดท้ายก็เกิดเป็น Pipatchara แบรนด์ที่สร้างมาจากแพสชันของสองพี่น้องนั่นเอง
ไม่ใช่แค่แฟชั่นธรรมดา แต่เป็นแฟชั่นเพื่อชุมชน

Pipatchara เริ่มจากการศึกษาชุมชนเล็กๆ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงราย โดยบนเว็บไซต์ของแบรนด์ระบุว่า พวกเธอเข้าไปสอนการถักทอผ้าให้ชาวบ้านในท้องที่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพแล้ว คนในพื้นที่ยังได้ความรู้ ทักษะ รวมถึงความสุขด้วย
นอกจากนั้น Pipatchara ยังใส่ใจทุกกระบวนการ ตั้งแต่การคัดสรรวัสดุในการผลิต ไปจนถึงการแพ็กของเข้าบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ก่อผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและแรงงาน ซึ่งในส่วนของซัพพลายเออร์เอง แบรนด์ใช้บริการของชุมชนท้องถิ่น ที่ในอดีตอาจเคยเป็นโรงงานทอผ้าเล็กๆ แต่ต้องปิดตัวลง เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ
“เราเป็น Fashion for Community เรามีความตั้งใจอยากจะทำงานร่วมกับคนและชุมชน เพราะฉะนั้น เพชรเชื่อเลยว่าเป้าหมายของ Pipatchara ที่จากวันแรกจนถึงวันนี้คือเรื่องของ ‘คน’ เชื่อว่าทีมนี้เองกับทุกคนที่ทำงานอยู่กับ Pipatchara เอง เรามีความตั้งใจที่อยากจะพัฒนา”
แฟชั่นจากขยะบกและขยะทะเล

พอเข้าสู่ช่วงโควิด Pipatchara ก็เริ่มสนใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากวัสดุที่คนอื่นอาจมองว่าเป็น ‘ขยะ’ มารีไซเคิลและร้อยเรียงให้เป็นแฟชั่น
เช่น ‘Infinitude’ สินค้าจากฝาขวดน้ำและบรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล ที่ปัจจุบัน Pipatchara ได้ต่อยอดคอลเล็กชันนี้ครอบคลุมไปถึงกระเป๋า สร้อย เสื้อผ้า และรองเท้าแตะแล้ว
ล่าสุด Pipatchara ยังไปจับมือกับ ‘UBE’ องค์กรชั้นนำด้านการผลิตไนลอน ในการทำโปรเจกต์ ‘AQUA-R-US’ ซึ่งเป็นการนำวัสดุไนลอนรีไซเคิลจาก ‘อวนประมง’ มาพัฒนาออกแบบเป็นเครื่องแต่งกายและกระเป๋าด้วย
ทับทิมเล่าว่า กว่าจะได้โปรเจกต์ AQUA-R-US มา แบรนด์ใช้เวลานานถึง 2 ปี เพราะต้องศึกษาให้ดีว่า อวนมันมาอย่างไร และหากปล่อยคอลเล็กชันนี้ออกไป ผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง
“เราลงไปศึกษา Value Chain ของอวนประมงทั้งหมด ตั้งแต่ปลายน้ำจนต้นน้ำว่า ก่อนที่จะมาทำเป็นเม็ดไนลอนรีไซเคิล ชาวประมงเขาเก็บมายังไง มีวิธีการจัดการกับอวนยังไง ให้เราไม่ไปรบกวนระบบที่มันมีอยู่แล้ว ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบในมิติอื่นๆ เราดูทั้งมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน”
ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ AQUA-R-US เท่านั้นที่ทั้งสองคนใช้เวลาศึกษากันมาอย่างยาวนาน เพราะจริงๆ แล้วทุกโครงการของ Pipatchara ใช้เวลาในการศึกษาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ปีเลย
“มันไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของพลาสติกรีไซเคิลอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องที่เราตั้งใจจะพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า แก่นสำคัญคือการที่เราเองมีความตั้งใจว่า ประโยชน์ของสิ่งที่เราทำคืออะไรบ้าง แล้วเราสามารถที่จะต่อยอดหรือต่อเรื่องราวประโยชน์พวกนี้ออกมาได้แบบไหนบ้างมากกว่า” เพชรกล่าว
ด้านทับทิมมองว่า การที่แบรนด์จะเติบโตอย่างยั่งยืน หากอาศัยแค่แพสชันอย่างเดียว Pipatchara คงมาไม่ไกลเหมือนทุกวันนี้ แต่สิ่งที่ต้องทำด้วยคือ การศึกษาในเรื่องที่สนใจอย่างจริงจังและรอบด้าน ซึ่งการปรึกษาหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญก็สำคัญไม่แพ้กัน
ถ้าราคาได้ คุณภาพดี ลูกค้าก็พร้อมที่จะให้ค่าความยั่งยืน

จากที่เกริ่นไปตอนแรกว่า ปัจจุบัน เทรนด์ฟาสต์แฟชั่นก็ยังมาแรงอยู่ แต่ทำไม Pipatchara ถึงยังอยู่รอด?
เอาจริงๆ หากพูดว่าอยู่รอดเฉยๆ คงไม่ถูกเท่าไร เพราะถ้ามาดูรายได้ของ ‘บริษัท เดอะ อามู กรุ๊ป จำกัด’ (Pipatchara) จะเห็นเลยว่าแบรนด์ของสองพี่น้องคู่นี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดย
-
- 2020: รายได้ 8.2 ล้านบาท / กำไร 3.9 แสนบาท
- 2021: รายได้ 12.1 ล้านบาท / ขาดทุน 7.9 แสนบาท
- 2022: รายได้ 33.2 ล้านบาท / กำไร 9 แสนบาท
- 2023: รายได้ 43.1 ล้านบาท / กำไร 6.3 แสนบาท
- 2024: รายได้ 91.6 ล้านบาท / กำไร 24.5 ล้านบาท (กำไรโต 3,800%)
ทับทิมเผยว่า หากอิงจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2019 จะเห็นว่า ปีนี้เป็นปีที่ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมในหมู่ผู้บริโภคสูงกว่าค่าครองชีพเสียอีก ซึ่งหมายความว่า เวลาเลือกซื้อสินค้า นอกจากปัจจัยเรื่องคุณภาพและราคาแล้ว ยังมีมิติด้านความยั่งยืนเข้ามาด้วย
“เวลาเลือกซื้อสินค้าทุกวันนี้ ถ้าสมมุติว่าราคาได้ คุณภาพได้ ผู้บริโภคพร้อมที่จะ go for sustainable product เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่า มันเป็นโอกาส มันไม่ใช่เป็นแค่เทรนด์ทั่วโลก แต่ตอนนี้มันลงมาอยู่ในทุกมิติของการใช้ชีวิตของคนเรา นอกจาก consumption ที่เราใช้ มันมาอยู่ในแฟชั่นด้วย” ทับทิมกล่าว
เดิมที ลูกค้าของ Pipatchara เป็นชาวต่างชาติ 100% เลยด้วยซ้ำ แต่พอเกิดการระบาดของโควิด ต่างประเทศก็ไม่ให้ส่งของ ทำให้ตลาดไทยแข็งแรงมากขึ้น จนตอนนี้สัดส่วนลูกค้าของแบรนด์กลายเป็นคนไทยส่วนใหญ่ไปแล้ว
เพชรบอกว่า กลุ่มเป้าหมายของ Pipatchara ไม่ได้ซื้อสินค้า เพราะความสวยหรือแฟชั่น แต่มันเป็น ‘ความรู้สึกดี’ ที่อยากจะซัพพอร์ตทั้งในแง่ของชุมชนหรือสิ่งที่พวกเขาใช้มากกว่า
ในมุมมองของเพชร แม้ตอนเปิดตัวแบรนด์แรกๆ กลุ่มลูกค้าอาจจจะค่อนไปทาง Niche มากๆ แต่เวลาผ่านไปทาร์เก็ตก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ เพราะสินค้าของ Pipatchara เป็นสิ่งที่คนใช้อยู่แล้ว และแตกไลน์ออกไปค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่กระเป๋าราคา 2 หมื่นบาทขึ้นไป จนถึงสร้อยข้อมือในราคาที่ต่ำลง ทำให้คนสามารถเข้าถึงง่าย
สำหรับอนาคต ทั้งสองคนเชื่อว่า Pipatchara คงไม่หยุดอยู่แค่การเป็นแฟชั่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะสร้างประโยชน์ให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนได้มากกว่าเดิมอีกแน่นอน
สุดท้าย Pipatchara พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้ฟาสต์แฟชั่นอาจมาแรง แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีพื้นที่ให้แฟชั่นยั่งยืนเลย เพราะ ถ้าเราไม่เริ่มรักษ์โลกวันนี้ ใครควรเป็นเริ่ม?
- จากขาดทุนเกิน 10 ล้าน จนโรงแรมต้องปิด 2 เดือน ‘โรงแรมอลิซาเบธ’ ทำยังไงให้กลับมากำไรได้?
- เปิดใจเจ้าของ ‘นารายา’ แบรนด์ไทยขวัญใจต่างชาติ ปรับตัวยังไงในวันที่นักท่องเที่ยวไม่มา?
ที่มา: Heuritech, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, Pipatchara, UBE
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา