ความรู้สึกแรกที่ได้ลอง อควาฟิน่า วิตซ่า น้ำดื่มแนวสปาร์คกลิ้ง ได้กลิ่นผลไม้ (มี 2 กลิ่นคือ ส้มและแอปเปิ้ลเขียว) หอมเบาๆ น้ำมีความซ่า เพราะผสมคาร์บอเนต เทียบแล้วคงประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำอัดลม และมีรสชาติหวานปิดท้ายมาเล็กน้อย (น้ำตาล 14 มก. น้อยกว่าน้ำอัดลมเยอะอยู่)
สำหรับคนที่ไม่เคยชิ้นกับการน้ำสปาร์คกลิ้ง (นิยมกันมากในประเทศตะวันตก) ก็อาจจะไม่เคยชิน แต่ถือว่าไม่ได้กินยาก และไม่ได้บาดคอ ซึ่ง จา-กรูท โคเตชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม สมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝายการตลาด บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด บอกว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมาเพื่อทำตลาดในประเทศไทยเป็นหลัก ก่อนจะขยายไปจำหน่ายในประเทศอื่นๆ
ดังนั้น นี่คือครั้งแรกที่มีการสร้างแบรนด์และทำตลาดน้ำดื่มสปาร์คกลิ้งในประเทศไทย และเพิ่มความแตกต่างด้วยการผสมวิตามิน บี3และบี6 ซึ่งต่างประเทศก็ยังไม่มี เพื่อตอบรับกระแสทั้งเรื่อง การสนใจดูแลสุขภาพ ความต้องการน้ำดื่มใหม่ๆ โดย อควาฟิน่า วิตซ่า มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ ส้ม และ แอปเปิ้ลเขียว มี 2 ขนาด 345 มล. ราคา 12 บาท และ ขนาด 445 มล. ราคา 16 บาท มีวางจำหน่ายทั้งร้านค้าทั่วไป และโมเดิร์นเทรด
ใครที่อยากลอง ลองมองหาให้ดี เพราะช่วงนี้ อควาฟิน่า วิตซ่า มีแจก 1 ล้านขวดทั่วประเทศเพื่อให้ได้ลิ้มลองรสชาติ และเตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาทเพื่อจัดแคมเปญสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค โดยทางเป๊ปซี่-โคล่า คาดว่าตลาดน้ำดื่มสปาร์คกลิ้งน่าจะมีมูลค่าตลาดถึง 1,000 ล้านบาทได้ในช่วงปีแรก จากเดิมที่ไม่มีตลาดนี้อยู่)
ขยายธุรกิจ ได้เวลาทวงคืนเบอร์ 1
เป๊ปซี่ มีส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลม 35% เป็นอันดับ 2 ในตลาด ตามหลังโค้กอยู่พอสมควร จากเดิมที่เคยเป็นเบอร์ 1 ในตลาดมาก่อน แต่เพราะการแยกตัวของเสริมสุขและเอส ทำให้เป๊ปซี่ ต้องเริ่มต้นสร้างธุรกิจน้ำอัดลมใหม่ โดยใช้ขวด PET และเลิกใช้ขวดแก้ว (ซึ่งมีจำหน่ายตามร้านอาหารต่างๆ เป็นหลัก) ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าเป๊ปซี่ โฟกัสที่การสร้างส่วนแบ่งตลาดกับน้ำอัดลม
กระทั่งปลายปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวน้ำดื่ม Aquafina เพื่อรุกตลาดน้ำดื่ม ซึ่งมีมูลค่าตลาด 31,000 ล้านบาท มีอัตราเติบตามากกว่า 10% ถึงปัจจุบันมีส่วนแบ่งประมาณ 3% และมีแนวโน้มที่ดีถือว่าน่าพอใจ รวมถึงการเปิดตัว อควาฟิน่า วิตซ่า ในครั้งนี้ และเมื่อไตรมาส 2 ได้นำชาพร้อมดื่ม ลิปตัน กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง โดยเครื่องดื่มทั้ง 2 ชนิด ผลิตที่โรงงานที่ระยอง
ขณะที่ตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่าตลาดกว่า 50,000 ล้านบาท เติบโต 6% เป๊ปซี่ มีส่วนแบ่ง 35% เป๊ปซี่สามารถทำได้ดีทั้งขวด PET และแบบกระป๋อง โดยมีโรงงานผลิตที่สระบุรี ซึ่งแนวโน้มการใช้ขวด PET มากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีสัดส่วน 78% ของตลาด (ขวดแก้ว 22%) ถือเป็นการขยายธุรกิจที่สำคัญทั้ง 3 ส่วนของกลุ่มธุรกิจเป๊ปซี่-โคล่า
ทั้งหมดถือเป็นความท้าทายของเป๊ปซี่-โคล่า ที่จะทวงตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาดกลับคืนมา
ทำความรู้จักกับธุรกิจของ เป๊ปซี่-โคล่า ทั่วโลกกันดีกว่า
เป๊ปซี่-โคล่า มีแบรนด์สินค้าต่างๆ ในบริษัทประมาณ 22 แบรนด์ สร้างรายได้ 36,000 ล้านบาทต่อปี (1,000 ล้านเหรียญ) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- Fun-For-You – ผลิตภัณฑ์ให้ความสนุกสนาน เช่น เป๊ปซี่, เลย์, เมาเทนดิว เป็นต้น
- Better-For-You – ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ดีกว่า เช่น เป๊ปซี่แม็กซ์, อควาฟิน่า วิตซ่า เป็นต้น
- Good-For-You – ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น อควาฟิน่า (น้ำดื่ม), ทรอปิคาน่า, ซันไบท์ เป็นต้น
ดังนั้นกลยุทธ์ของเป๊ปซี่-โคล่า คือการสร้างผลิตภัณฑ์ให้ครบทั้ง 3 กลุ่ม รุกตลาด เพื่อสร้างทั้งความสนุกสนาน เป็นทางเลือกที่ดีกว่า และมีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตอบความต้องการของผู้บริโภคได้ครบทุกรูปแบบ
สรุป
เป๊ปซี่-โคล่า กลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมได้มากขึ้นเรื่อยๆ เปิดตลาดน้ำดื่ม อควาฟิน่า พร้อมกับแตกไลน์ทำ อควาฟิน่า วิตซ่า และยังดึงชาพร้อมดื่ม ลิปตัน กลับมาผลิตและจำหน่าย แพ็คธุรกิจเครื่องดื่มทั้ง 3 ส่วนได้อย่างน่าสนใจ แนวโน้มค่อนข้างดี เป็นสัญญาณให้คู่แข่งตลอดกาลอย่า งโค้ก โคคา-โคล่า ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ รวมถึง เอสโคล่า ที่พยายามสร้างส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้นด้วย
สำหรับ อควาฟิน่า วิตซ่า ต้องแก้โจทย์หลักให้ได้ คือ คนไทยที่ไม่คุ้นเคยกับน้ำดื่มประเภท สปาร์คกลิ้ง ให้หันมาลองและดื่มเป็นประจำสม่ำเสมอ (เหมือนดื่มน้ำอัดลม) จริงอยู่ว่าอาจจะมีประโยชน์ กินแล้วสดชื่น แต่การกินน้ำเปล่า และน้ำอัดลม ยังเป็นเป้าหมายหลักของผู้บริโภคในเวลานี้
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา