ในอนาคตคุณค่าของบรรจุภัณฑ์หรือหีบห่อจะไม่ใช่แค่การปกป้องสินค้าหรือนําพาสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคอีกต่อไป เพราะทั่วโลกต่างให้ความสําคัญกับการปกป้องโลกใบนี้
ปัจจุบันจึงเกิดเป็น “Circular Economy” เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความยั่งยืน กลายเป็นแกนสําคัญของการดําเนินธุรกิจในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วยเช่นกัน
แนวคิดที่เปลี่ยนไปของการสร้างบรรจุภัณฑ์
นายสินชัย เทียนสิริ ผู้อํานวยการสถาบันรหัสสากล (GS 1) อดีตผู้อํานวยการสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) เล่าว่า ในยุคแรกบรรจุภัณฑ์เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง (Linear Economy) เนื่องจากทรัพยากรยังมีเพียงพอ จนมาถึงยุคก่อให้เกิดปัญหาขยะจึงเป็นการใช้แล้วนําไปรีไซเคิล (Recycle Economy)
แต่ขณะเดียวกันกระบวนการรีไซเคิลย่อมมีต้นทุน หากพิจารณาแล้วว่าสิ่งนั้นไม่คุ้มค่าก็จะถูกทิ้งภาระให้โลกบําบัดต่อไป จนปัจจุบันทั่วโลกต่างให้ความสําคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทําให้เกิดแนวคิด 3R คือ Reduce Reuse และ Recycle
นอกจากนี้นายสินชัยยังได้เสนอให้สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ในการร่วมจัดการบรรจุภัณฑ์ โดยผู้ประกอบการที่ต้องการส่งสินค้าไปต่างประเทศต้องไม่มองแค่ฟังก์ชันการปกป้องสินค้า แต่จะทําอย่างไรให้ปกป้องสินค้าและปกป้องโลกได้ด้วย
เนื่องจากขณะนี้หลายประเทศให้ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อมมาก บางประเทศกําหนดเป็นมาตรการการนําเข้าสินค้าเลยทีเดียว ซึ่งในอนาคตประเด็นนี้อาจจะกลายเป็นกําแพงทางการค้าได้
การออกแบบผลิตภัณฑ์ต้องเพิ่มมูลค่า
นายทินกร เหล่าเราวิโรจน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ไทย (ATSI) ได้ให้ข้อคิดเห็นสําหรับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เป็น Smart Packaging ที่สร้างคุณค่าเพิ่มมากกว่าการบอกข้อมูลสินค้า เพื่อประโยชน์ทั้งในแง่ของธุรกิจและต่อผู้บริโภค โดย Smart Packaging นั้นมี 2 ประเภท คือ
- Active Packaging มักใช้กับสินค้าประเภทอาหาร ซึ่งจะช่วยยืดอายุบนชั้นวางสินค้าให้ยาวนานขึ้น เช่น การใช้วัสดุที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาคุณภาพอาหาร
- Intelligent Packaging เพื่อสื่อสารกับลูกค้า เช่น สื่อสารด้วยตัวชี้วัด (Indicator) ที่เป็น สีเพื่อบอกถึงความสด ความสุก สําหรับการรับประทาน ทั้งการให้และรับข้อมูลด้วย QR Code, RFID หรือ NFC และเพื่อส่งเสริมด้านการตลาด ช่วยสร้างประสบการณ์กับผู้บริโภค หรือกิจกรรมร่วมสนุกต่างๆ
แนวทางการดำเนินงานของแบรนด์เพื่อสิ่งแวดล้อม
แบรนด์ระดับโลกอย่างเนสท์เล่ (Nestlé) ได้เริ่มปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อลดภาระของโลกแล้วในหลายๆ ประเทศ
นายจิรพัฒน์ ฐานสันโดษ Market Packaging Manager, Indochina บริษัท เนสท์เล่ ประเทศไทย จํากัด เล่าว่า แบรนด์มีความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม 2 เรื่อง คือ ลดการสร้างมลพิษต่อโลกให้ได้ 100% ในปี 2050 และเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์ให้สามารถนํากลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ทั้งหมดในอีก 4 ปีข้างหน้า ในข้อสองนี้ได้แบ่งออกเป็น 5 แนวทางการดําเนินงาน คือ
- Reduce ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จําเป็นและลดปริมาณพลาสติกมากเท่าที่เป็นไปได้ เช่น ตัดสีฟ้าอ่อนบนขวดที่เป็นภาพจําของแบรนด์ออก หรือการลดใช้สีที่ฝาถ้วยไอศกรีมเพื่อรีไซเคิลง่ายขึ้น
- Reuse & Refill ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมมากขึ้น เพื่อช่วยลดผลกระทบของการใช้แล้วทิ้ง
- Alternative Materials การหาวัสดุทดแทนอื่นๆ ที่สามารถนําไปรีไซเคิลได้
- Infrastructure การมองหาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อให้บรรจุภัณฑ์มีการนําไปรีไซเคิลอย่างจริงจัง
- Behavior Change การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งด้านการส่งเสริม การโปรโมท การให้ความรู้ เพื่อนำไปสู่การแยกขยะอย่างถูกต้อง เพื่อให้เกิด Circular Economy ที่แท้จริง
เมื่อการดูแลและปกป้องโลกเป็นปัจจัยสําคัญของการบริโภคสินค้าทั่วโลกในขณะนี้ ผู้ส่งออกไทยควรเรียนรู้และปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงของโลก แม้จะต้องใช้เวลาและงบประมาณในการเริ่มต้น แต่ผลที่ได้รับคือธุรกิจจะสามารถดําเนินต่อไปได้ในระยะยาว และส่งออกได้อย่างยั่งยืน
- ขวดพลาสติกหลบไป: คริสตัลเปิดตัว ‘คริสตัล แคน’ น้ำดื่มบรรจุกระป๋อง รักโลกกว่าขวดพลาสติก
- Coca-Cola ทดลองใช้ขวดกระดาษเป็นบรรจุภัณฑ์ครั้งแรก ต่อยอดแผน Zero Waste ภายในปี 2030
ที่มา: ข่าวประชาสัมพันธ์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา