Please Mind The Digital Gap… ประชากรดิจิทัลไทยในชายขอบ | BI Opinion

โดย ปฐม อินทโรดม

ในแง่เศรษฐกิจเรารู้จักคำว่ารวยกระจุก จนกระจายที่ใช้แทนความหมายของสังคมที่เหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่ทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้นและคนจนยิ่งจนลง เทคโนโลยีดิจิทัลจึงถูกตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะเข้ามาลดช่องว่างดังกล่าว เพราะเมื่อเทคโนโลยีราคาถูกลง สมาร์ตโฟนเหลือเครื่องละไม่ถึงพัน ประชากรระดับรากหญ้าทั้งหลายก็ย่อมเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพื่อใช้มันยกระดับความเป็นอยู่ได้ดียิ่งขึ้น

ชาวนาปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมี ทำนาแบบเน้นคุณภาพ การปลอดสารพิษ เพราะสามารถขายข้าวได้ในราคาแพง ให้กลุ่มลูกค้าในเมืองได้โดยตรงผ่านตลาดออนไลน์ไม่ต้องถูกพ่อค้าคนกลางกดราคา ชาวประมงก็ใช้แอพพลิเคชั่นประมูลเปิดให้ร้านอาหารทะเลมาจองซื้อกุ้งหอยปูปลาขายได้หมดตั้งแต่เรือยังไม่ทันเทียบท่า ไม่ต้องง้อยี่ปั๊วซาปั๊วที่คอยบวกกำไรเป็นทอด อีกต่อไป ช่างเป็นจินตนาการที่บรรเจิดเสียยิ่งนัก

แต่จินตนาการก็คือจินตนาการ เพราะในโลกความเป็นจริงเราจะพบความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลได้ไม่ต่างอะไรกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีราคาถูกลงจนเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงได้เท่า กัน แต่เราจะพบว่าคนที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งมักจะเป็นคนรวยมีโอกาสในการใช้เทคโนโลยีใหม่ เพิ่มพูนรายได้ให้กับตัวเองอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ภาพจาก Shuttestock

คนกลุ่มนี้อยู่ห่วงโซ่บนสุดของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล พวกเขาใช้เวลาในโซเชียลมีเดียน้อยกว่าคนทั่วไปแต่หันมาเสพสาระความรู้ผ่านช่องทางใหม่ จึงรู้จัก Robo Advisor ว่าเข้ามาช่วยบริหารจัดการเงินทุนของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพกว่า จะซื้อขายหุ้นก็รู้ว่าต้องพึ่ง Bot ในการทำรายการเพื่อเพิ่มความได้เปรียบ รวมไปถึงเข้าใจบทบาทของ Cryptocurrency และเลือกลงทุนกับ STO ที่น่าสนใจเพราะมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมากในอนาคต ฯลฯ

คนกลุ่มนี้มักจะรวยเงียบ ไม่ค่อยมีเวลาได้ไปโม้ให้ใครฟัง บางคนเป็นนักลงทุนอิสระ บางคนอาจทำงานระดับบริหารในบริษัทต่าง มีรายได้หลายทาง แม้จะดูเรียบ ไม่โฉ่งฉ่างแต่ไลฟ์สไตล์เลิศวิไลแน่นอนเพราะใช้เงินเป็น

ในขณะที่ระดับรากหญ้าของเราที่ถูกตั้งความหวังให้เข้าสู่โลกดิจิทัลเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นจะพบว่าเขาเป็นได้แค่ห่วงโซ่ลำดับล่างสุดของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะเคยชินกับการเป็นผู้บริโภคแต่เพียงอย่างเดียว ตลาดมือถือที่คึกคักกันอยู่ในทุกวันนี้จึงมาจากพวกเขาเป็นหลัก

เทคโนโลยีจึงกลายเป็นรายจ่ายประจำของคนกลุ่มนี้ไป ด้วยแคมเปญผ่อน 0% จึงทำให้ตัดสินใจซื้อสมาร์ตโฟนรุ่นดี ได้ไม่ยาก ส่วนรายได้ที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีมีเพียงอย่างเดียวคือการขายของออนไลน์ซึ่งมีตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จสร้างรายได้เพิ่มเติมได้บ้าง แต่ยังนับว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนเกษตรกรทั่วประเทศ

ภาพจาก Shuttestock

Digital Gap หรือความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลจึงมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเพราะความแตกต่างระหว่างคน 2 กลุ่มที่เข้าถึงความรู้ในโลกดิจิทัลได้ไม่เท่ากัน กลุ่มบนสุดของห่วงโซ่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลดูเหมือนเราไม่ต้องทำอะไรเพราะเขามีหนทางพัฒนาตัวเองได้ดีอยู่แล้ว ที่น่าห่วงคือกลุ่มล่างสุดที่ดูจะปรับตัวได้ยากมาก

ทางออกจึงอยู่ที่กลุ่มตรงกลาง ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นประชากรรุ่นลูกรุ่นหลาน และมีความพร้อมในเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่าเพราะเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ จึงปรับตัวได้เร็วกว่า แต่กลุ่มตรงกลางนี้ก็ยังมีอีก 2 กลุ่มย่อย แบ่งเป็นกลุ่มกลางสูง และกลางต่ำ

เริ่มจากกลุ่มกลางสูงประชากรดิจิทัลในกลุ่มนี้แน่นอนว่ารู้จักเทคโนโลยี ใช้เป็นและใช้คล่อง แต่ใช้ไม่สุดทาง พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็อยู่ในกลุ่มนี้ คือถ้ามัวแต่สาละวนกับการขาย หลงไหลได้ปลื้มกับยอดขาดจนลืมพัฒนาทักษะอื่น เพื่อใช้ในอนาคตก็จะติดอยู่ในกลุ่มนี้

หากคนกลุ่มนี้อยู่ในบริษัท อาจเป็นนักขายหรือนักการตลาดในฝ่ายอีคอมเมิร์ซ ถือเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาให้เขารู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ หาทางให้เขาใช้ IoT, AI, Blockchain ฯลฯ มาพัฒนาสินค้าและบริการเพิ่มเติมเพราะพวกเขามีศักยภาพที่จะขึ้นมาอยู่กลุ่มบนสุดได้

ภาพจาก Shuttestock

ส่วนกลุ่มกลางต่ำกลุ่มนี้จัดการได้ยากเพราะมักไม่สนใจโลก ใช้เทคโนโลยีเป็นแต่ฉาบฉวย สนใจแต่มือถือรุ่นล่าสุดแต่ไม่เคยใช้ประโยชน์จากมัน ยินดีกัดฟันผ่อนไอโฟนใหม่แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าอินเตอร์เน็ต บางคนใช้เล่นเกมส์และบอกชาวโลกว่าตัวเองเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต แต่ไม่เคยรู้ว่าตัวจริงเขาใช้เวลาซ้อมและศึกษาเทคนิคใหม่วันละกว่าสิบชั่วโมง

กลุ่มนี้มักจะพัฒนาตัวเองได้โดยอัตโนมัติเมื่อเติบโตขึ้นตามวัยและได้รับการบ่มเพาะจากระบบการศึกษา นั่นจึงหมายความว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ติดอยู่ในกลุ่มนี้ตลอดไปเพราะชิงลาออกมาเสียก่อนจึงถือว่าเป็นกลุ่มที่จัดการได้ยากมาก

ช่องว่างทางดิจิทัล ไม่อาจหายไปได้ง่าย เราย้ายคนจากด้านท้ายของห่วงโซ่ให้มาอยู่ตรงกลางได้ ซึ่งอาจจะเพียงพอสำหรับเป้าหมายในระยะแรก แต่อย่าลืมว่าสารพัดนโยบายด้านดิจิทัลเพิ่งจะใช้กันอย่างจริงจังช่วง 3-4 ปีมานี้เอง

ทั้ง 5G, Augmented Analytics, Quantum Computing และเทคโนโลยีล้ำ อีกมากที่กำลังเปิดตัวในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้พร้อมมาช่วยกันถ่างให้ช่องว่างดิจิทัลเหล่านี้ห่างกันมากยิ่งขึ้นไปอีก คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีดิจิทัลจึงยังคงรุนแรงอยู่เสมอ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา