Sam Altman บอกว่า ChatGPT เก่งกว่าหมอส่วนใหญ่ในโลก และอาจทำให้อาชีพหมอหายไป

ถ้าวันหนึ่งคุณป่วย แล้วหมอที่รักษาคุณไม่ใช่ ‘คน’ แต่เป็น ‘AI’ คุณจะรับได้หรือไม่

ล่าสุด ‘Sam Altman’ ซีอีโอของ OpenAI ออกมาพูดแบบตรงไปตรงมาว่า ‘ChatGPT’ ทุกวันนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่า ‘หมอ’ ส่วนใหญ่ในโลกแล้ว เพราะ AI มีความสามารถมากพอที่จะวิเคราะห์อาการ และให้คำวินิจฉัยที่แม่นยำยิ่งกว่ามนุษย์หลายราย

คำพูดของเขาเกิดขึ้นในช่วงที่ระบบสาธารณสุขทั่วโลก เริ่มทดลองใช้ AI ตั้งแต่การวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ไปจนถึงแชทบอทด้านสุขภาพจิต ซึ่งคาดว่าประสิทธิภาพของ AI จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

แต่สำหรับ Altman การตัดสินใจในเรื่องสุขภาพควรมีความเป็น ‘มนุษย์’ เข้ามาร่วมด้วยเสมอ เพราะการปล่อยให้ AI จัดการทุกอย่างในระบบสาธารณสุขโดยไม่มีมนุษย์ อาจเป็น ‘หายนะ’ ที่ไม่มีใครอยากเห็น

“คนยังไปหาหมออยู่ และผมเอง … อาจจะฟังดูโบราณ แต่ผมไม่อยากฝากชีวิตไว้กับ ChatGPT โดยไม่มีหมอมนุษย์อยู่ในกระบวนการเลย”

วงการแพทย์รู้เรื่องนี้มาสักพักแล้ว ตอนนี้กำลังปรับตัว

ฝั่งแพทย์เองก็ไม่ได้เพิ่งรู้เรื่องนี้ หรือไม่ได้ทำอะไรกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขากำลังปรับตัวอย่างจริงจัง

ข้อมูลจาก American Medical Association ระบุว่า ในปี 2023 มีแพทย์ในสหรัฐฯ ถึง 2 ใน 3 ที่เริ่มนำ AI มาใช้จริงในงานประจำ ตั้งแต่ระบบอ่านเวชระเบียน การจัดการข้อมูลคนไข้ ไปจนถึงการช่วยตัดสินใจวินิจฉัยโรคเบื้องต้น โดย 1 ใน 4 ของแพทย์กลุ่มนี้มองว่า AI ช่วยลดภาระงานได้อย่างมาก และเกือบครึ่งเห็นว่า AI ช่วยยกระดับการดูแลคนไข้ให้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ 

นอกจากนี้ งานวิจัยจาก CNN และ PBS ก็สะท้อนทิศทางเดียวกันว่า AI เริ่มเข้ามาช่วยในงานวินิจฉัยแบบจริงจังแล้ว เช่น อ่านภาพแมมโมแกรม หรือภาพจากกล้องส่องลำไส้ ซึ่งบางเคส AI ตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ดีกว่าแพทย์เพียงคนเดียวด้วยซ้ำ

งานบางประเภทไหนบ้าง ที่ไม่ได้ไปต่อ

ถึงแม้ Altman จะพูดถึงเรื่องหมอเป็นหลัก แต่เขายังพูดถึงภาพรวมของตลาดแรงงานที่ถูก AI เข้ามาแทนที่ โดยเขายกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ‘งานบริการลูกค้า’

“บางงานจะหายไปหมด แบบหมดเกลี้ยงจริงๆ อย่างเช่น ‘คอลเซนเตอร์’ ตอนนี้คุณโทรไปก็เจอ AI รับสายแทนแล้ว”

Altman อธิบายว่า ระบบ AI ที่มีอยู่ตอนนี้สามารถทำงานแทนเจ้าหน้าที่ได้ครบทุกด้าน ทั้งเร็วกว่า แม่นยำกว่า และไม่มีปัญหาเรื่องโอนสายหรือเมนูซับซ้อน คือโทรไปครั้งเดียว AI จัดการให้เสร็จเลย ไม่ต้องพูดซ้ำ ไม่มีพลาด

อีกประเด็นที่ Altman เตือนคือ ความเสี่ยงที่ AI จะถูกใช้ในการฉ้อโกง โดยเฉพาะในระบบการเงิน เขาบอกว่า ยังมีธนาคารที่ใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยเสียง ซึ่ง AI ปลอมเสียงได้เนียนมากจนแทบจะแยกไม่ออกแล้ว

“เรื่องที่ทำให้ผมกลัวคือ ยังมีสถาบันการเงินบางแห่งที่ใช้เสียงในการยืนยันตัวตน แค่คุณพูดประโยคที่กำหนดไว้ แล้วเขาก็ให้โอนเงิน บอกตามตรงว่า AI เอาชนะระบบพวกนี้ได้หมดแล้ว”

เขาเตือนว่าความสามารถของ AI ในการปลอมเสียง หรือวิดีโอจะยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แม้ตอนนี้ปลอมเสียงได้ แต่ต่อไปจะเป็นวิดีโอ FaceTime ที่แยกไม่ออกว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม

“นี่คือวิกฤตที่กำลังจะมาถึง” Altman ย้ำ พร้อมเตือนว่าคนในวงการเทคโนโลยีพยายามเตือนมานานแล้วว่า แม้บริษัทใหญ่จะยังไม่ปล่อยเทคโนโลยีนี้ออกมา แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มีมันอยู่ในมือ

Gen Z พึ่งพา ChatGPT มากเกินไป

นอกจากเรื่องอุตสาหกรรม และความปลอดภัย Altman ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับการพึ่งพา ChatGPT ทางอารมณ์ที่มากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z

“เด็กยุคนี้บางคนบอกว่า ฉันตัดสินใจอะไรในชีวิตไม่ได้เลย ถ้าไม่เล่าให้ ChatGPT ฟังก่อน มันรู้จักฉัน รู้จักเพื่อนฉัน ฉันจะทำตามที่มันบอกหมด พอฟังแบบนี้แล้วผมรู้สึกไม่โอเคเลย”

ข้อมูลจาก Common Sense Media ก็สนับสนุนข้อกังวลนี้ โดยพบว่า 72% ของวัยรุ่นเคยใช้ AI เป็นคู่สนทนา และหลายคนบอกว่าพวกเขาไว้ใจคำแนะนำจาก AI ระดับหนึ่ง โดยกลุ่มอายุ 13-14 ปี มีถึง 27% ที่เชื่อมั่นใน AI พอสมควร และ 23% ที่เชื่อค่อนข้างมาก หรือเชื่อโดยสมบูรณ์

Altman ยอมรับว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดี บางครั้งดีกว่าหมอ หรือที่ปรึกษามนุษย์ด้วยซ้ำ แต่เขาเตือนว่า ถ้ามนุษย์ตัดสินใจจะใช้ชีวิตตามที่ AI บอกกันหมด โลกใบนี้คงเต็มไปด้วยความอันตราย

“AI อาจจะเก่งกว่าแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราควรเอาคนออกจากสมการ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพ”

ที่มา: The Guardian, Quartz, Business Insider, AMA, CNN, PBS

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา