ทำไมมีแค่ เอ็มจี และ เกรท วอลล์ ลดราคา รถยนต์ไฟฟ้า ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์

บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เริ่มขึ้นแล้ว และ รถยนต์ไฟฟ้า ยังเป็นพระเอกของงานเช่นเดียวกับ 2 ครั้งก่อน แถมครั้งนี้จัดขึ้นหลังรัฐบาลไทยประกาศให้เงินสนับสนุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจนราคาลดลงหลักแสนบาท

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ได้รับเงินสนับสนุนกลับมีแค่รถยนต์ไฟฟ้าจาก เอ็มจี และ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในงานมีรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกซื้อกว่าสิบรุ่น

ทำไม นิสสัน, วอลโว่, ออดี้, บีเอ็มดับบลิว และแบรนด์อื่น ๆ ถึงไม่ได้รับสิทธิ์นี้บ้าง และอนาคตแบรนด์ที่ขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะได้รับสิทธิ์สนับสนุนเมื่อไร Brand Inside อยากชวนมาหาคำตอบด้วยกัน

รถยนต์ไฟฟ้า

มีแค่ เอ็มจี และ เกรท วอลล์ ที่ลงนาม

วันที่ 21 มี.ค. 2565 กรมสรรพสามิต ประกาศลงนามข้อตกลงกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์ที่พร้อมเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 2 ราย คือ

  • บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เกรท วอลล์
  • บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอ็มจี

เมื่อได้ลงนามในข้อตกลงแล้ว เอ็มจี และ เกรท วอลล์ จะได้รับสิทธิในการรับเงินอุดหนุนจากการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV (Battery Electric Vehicle) รวมถึงสิทธิ์ในการลดอัตราภาษี เช่นภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต โดยในงาน มอเตอร์โชว์ เอ็มจี และ เกรท วอลล์ นำรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้ส่วนลดดังกล่าวมาจำหน่ายดังนี้

  • เกรท วอลล์ มี 3 รุ่นคือ ORA GOOD CAT 500 ultra , ORA GOOD CAT 400 Tech และ ORA GOOD CAT 400 Pro
  • เอ็มจี มี 3 รุ่นคือ MG ZS EV, MG EP และ MG EP PLUS

การลงนามครั้งนี้ทำให้ เอ็มจี และ เกรท วอลล์ จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในราคาสุดถูก หรือลดลงจากเดิมสูงสุดกว่า 2.4 แสนบาท เช่น MG EP เหลือราคาเริ่มต้นเพียง 7.61 แสนบาท ค่อนข้างจูงใจผู้บริโภค เพราะราคาแทบจะเทียบเท่ากับรถยนต์กลุ่ม B-Segment เช่น โตโยต้า Yaris และ ฮอนด้า City

รถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์อื่นรอเข้าโครงการ

หากเจาะไปที่รายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องการเข้าร่วม หากนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน หรือ CBU (Complete Build Unit) ระหว่างปี 2565-2566 ต้องมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศได้ หรือ CKD (Complete Knock-down)

การผลิตต้องเริ่มต้นในปี 2567 และผลิตชดเชยในอัตราส่วน 1:1 เท่า ของจำนวนการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทยระหว่างปี 2565-2566 และในปี 2568 ต้องผลิต 1:1.5 เท่า ของจำนวนดังกล่าว มากกว่านั้นในปี 2567-2568 มีการสนับสนุนแค่นำเข้าชิ้นส่วนเพื่อมาผลิตในประเทศไทย หรือ CKD เท่านั้น

จึงไม่แปลกที่ เอ็มจี และ เกรท วอลล์ ที่ค่อนข้างพร้อมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น เอ็มจี เคยแจ้งว่า ภายในปี 2566 จะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ส่วน เกรท วอลล์ แจ้งว่า วางแผนให้โรงงานที่จังหวัดระยอง เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน

ต่างกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่มีโรงงานผลิต หรือประกอบในประเทศไทย เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ถึงจะบอกว่าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยช่วงสิ้นปี 2565 แต่ยังไม่ขายเลยสักรุ่น, บีเอ็มดับบลิว ที่ขายรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยแผนผลิตในไทย รวมถึง นิสสัน ที่ขาย Leaf มาระยะหนึ่ง แต่ยังไม่มีแผนผลิตในไทยเช่นกัน

เต็มที่มีแค่แบรนด์จีนได้ได้สิทธิ์ลดภาษีนำเข้า

ในทางกลับกัน แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ได้สิทธิประโยชน์ภาษีนำเข้า 0% ภายใต้ข้อตกลงใหม่กับประเทศไทย ทำให้มีบริษัทนำเข้ารถยนต์อิสระ หรือ เกรย์ มาร์เก็ต นำรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมาขายมากขึ้น เพราะถึงไม่ได้เข้าโครงการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่ภาษีนำเข้า 0% ช่วยลดต้นทุนได้จำนวนหนึ่ง

เช่น BRG Group ยักษ์ใหญ่ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ ประกาศขายรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กแบรนด์ Pocco ราคาเริ่มต้นเพียง 4.39 แสนบาท แม้จะเป็นรถพวงมาลัยซ้าย และทางบริษัทยังเตรียมนำเข้า Neta รถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV มาจำหน่ายเพิ่มเติมในไทยเช่นกัน

ส่วนแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากญี่ปุ่น และเกาหลี ผู้เขียนเชื่อว่า แบรนด์จากประเทศเหล่านี้อาจอยู่ระหว่างวางแผนว่าจะตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยหรือไม่ เพราะหากไม่ทำก็จะไม่ได้รับการสนับสนุน จึงต้องอยู่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตจจะดีจนคุ้มค่ากับการลงทุนตั้งโรงงาน หรือไลน์ผลิตมากแค่ไหน

จากปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ประจำปี 2565 มีรถยนต์ไฟฟ้าเพียง 2 แบรนด์ที่เข้าโครงการสนับสนุนจากภาครัฐ และน่าจะจูงใจผู้บริโภคจนเพิ่มยอดขายภายในงานนี้ได้ไม่น้อย ส่วนแบรนด์อื่นที่ยังไม่ร่วมโครงการ ผู้เขียนเชื่อว่า ผู้ซื้อจะรอให้ร่วมโครงการก่อน เพราะคงกลัวซื้อไปแล้วติดดอย

อ้างอิง // Motor Show

อ่านข่าวเกี่ยวกับ เอ็มจี และ เกรท วอลล์ เพิ่มเติมได้ที่นี่

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา