ผลสำรวจพบ เกือบ 1 ใน 4 ของคนอินเดียใช้มือถือเสพสื่อ-ดูคอนเทนต์ เพราะทีวีราคาแพงเกินไป

รู้สึกมั้ยว่า ‘มือถือ’ คือทุกอย่างในชีวิต? แต่ถ้าถาม ‘คนอินเดีย’ กลุ่มหนึ่ง นี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มันคือความจริง

เพราะผลสำรวจล่าสุดจาก Kantar พบว่าเกือบ 1 ใน 4 ของคนอินเดียดูคอนเทนต์ทุกอย่างผ่านมือถือเท่านั้น ไม่มีทีวี ไม่มีแล็ปท็อป มีแค่มือถือในมือนี่แหละพอแล้ว

คนอินเดียใช้มือถือเสพสื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 15% ในปี 2023 เป็น 23% ในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ชนบท หรือกลุ่มรายได้น้อย เพราะทีวีกับค่า subscribe หลายๆ แอปมันแพงเกินไปสำหรับหลายครอบครัว ขณะที่มือถือจับต้องได้ง่ายกว่าเยอะ

Puneet Avasthi จาก Kantar บอกว่า คนกลุ่มนี้เคยถูกมองว่า เป็นกลุ่ม ‘media dark’ หรือ กลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไม่มีทีวี ไม่มีมือถือ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ถูกตัดขาดจากการรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อกระแสหลักแทบทั้งหมด

แต่ตอนนี้ อินเดียได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะแค่มีสมาร์ทโฟนกับแพ็กเกจเน็ตถูกๆ (เริ่มต้นแค่เดือนละ 4 ดอลลาร์ฯ) ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พวกเขาก็เข้าสู่โลกออนไลน์แบบเต็มตัว ทั้งดูหนัง ชอปปิ้ง หรือเล่นโซเชียลได้หมด

สำหรับในบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ก็เห็นเทรนด์นี้เหมือนกัน เช่น ‘Netflix’ มีแพ็กเกจแบบดูผ่านมือถืออย่างเดียวในอินเดีย ราคาแค่ 149 รูปี (ประมาณ 60 กว่าบาท) 

ส่วน Meta, Amazon, และเจ้าอื่นๆ ก็เริ่มปรับกลยุทธ์ให้เน้นมือถือเป็นหลัก เพราะข้อมูลชี้ชัดว่า 79% ของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในอินเดียมาจากมือถือ สูงกว่าจีน (63%) และสหรัฐฯ (43%) แบบขาดลอย

นอกจากนี้ การใช้สมาร์ทโฟนของคนอินเดียยังเปลี่ยนวิธีชอปปิ้งของผู้คนด้วย แพลตฟอร์มอย่าง ‘Flipkart’ หรือ ‘Meesho’ เข้าไปตีตลาดเมืองเล็กๆ ด้วยของราคาถูกและเข้าถึงง่าย แค่กดไม่กี่ครั้งก็สั่งได้ถึงบ้าน หรือแม้กระทั่งแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือขนมก็หันมาโฟกัสลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น

สิ่งที่เห็นได้จากเทรนด์นี้ คืออินเดียไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ยุคดิจิทัล แต่พวกเขาอยู่ในยุคนั้นแล้ว และไม่ได้เดินตามเส้นทางที่ประเทศพัฒนาแล้วทำ ที่เริ่มจากทีวีไปคอม แล้วค่อยมือถือ 

แต่อินเดียกระโดดข้ามหนึ่งก้าวเลย คือมาเสพสื่อผ่านมือถือเป็นหลักเลย เพราะสำหรับหลายคน หน้าจอเล็กๆ ในมือเครื่องนี้แหละ คือหน้าต่างสู่โลกกว้าง ที่ไม่ได้มีแค่ความบันเทิง แต่ยังหมายถึงโอกาสในการเรียนรู้ เข้าถึงข้อมูล ค้าขาย หรือแม้แต่สร้างตัวตนในแบบที่สังคมรอบข้างอาจไม่เคยเปิดให้มาก่อน

ที่มา: Bloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา