ราคาน้ำมันดิบเปิดการซื้อขายได้พุ่งสูงสุดกว่า 12% โดยสาเหตุสำคัญมาจากความกังวลกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียที่หายไป
ราคาซื้อขายน้ำมันดิบวันนี้ได้พุ่งสูงกว่า 12% และเป็นราคาซื้อขายระหว่างวันที่สูงที่สุดในรอบ 31 ปี หลังจากที่เกิดเหตุการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดที่ซาอุดิอาระเบีย รวมไปถึงแหล่งผลิตน้ำมันอื่นๆ ในประเทศอีกหลายแห่ง ทำให้เกิดความกังวลว่าซาอุดิอาระเบียจะฟื้นกำลังการผลิตได้ไวที่สุดแค่ไหน
- ราคาน้ำมันทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบจากการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่ซาอุดิอาระเบีย
- มาทำความเข้าใจ “ช่องแคบฮอร์มุซ” ว่าสำคัญกับอุตสาหกรรมพลังงานกับการบินมากแค่ไหน
- สหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มอีกชุด อิหร่านโต้ ช่องทางการทูตของทั้ง 2 อาจปิดลงตลอดกาล
จุดสำคัญที่โดนการโจมตีด้วยคือโรงกลั่น Abqaiq อยู่ห่างจากเมือง Dhahran ราวๆ 60 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดิอาระเบีย มีกำลังการผลิตถึงเกือบ 50% ของประเทศ และคิดเป็น 5% ของปริมาณน้ำมันที่ทั่วโลกใช้ในแต่ละวัน ขณะที่แหล่งผลิตน้ำมัน Khurais ซึ่งมีปริมาณการผลิตอันดับ 2 ของซาอุดิอาระเบียก็โดนการโจมตีนี้ด้วยเช่นกัน
กำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียที่หายไปครั้งนี้อยู่ที่ 5.7 ล้านบาร์เรล ทำสถิติมากที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติอิหร่านในช่วงปี 1978 ที่กำลังการผลิตหายไป 5.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่เหตุการณ์อิรักบุกคูเวตในปี 1990 กำลังการผลิตหายไป 4.3 ล้านบาร์เรล
ไม่เพียงแค่ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้นแต่ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น ทองคำ ก็มีราคาเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าเงินเยนก็ได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน เนื่องจากความกังวลในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ในตะวันออกกลางอาจเพิ่มความรุนแรงหลังจากนี้
นอกจากนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้กล่าวว่า หลังจากการโจมตีซาอุดิอาระเบีย ประธานาธิบดีสหรัฐอนุญาตให้ปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองยุทธศาสตร์ (SPR) ซึ่งมีปริมาณน้ำมันกว่า 645 ล้านบาร์เรล ถ้าหากน้ำมันเกิดขาดแคลนขึ้นมาอีกด้วย
ขณะเดียวกันคาดว่าซาอุดิอาระเบียอาจต้องใช้เวลานับสัปดาห์ในการฟื้นกำลังการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้
….sufficient to keep the markets well-supplied. I have also informed all appropriate agencies to expedite approvals of the oil pipelines currently in the permitting process in Texas and various other States.
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) September 15, 2019
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา