ในยุคที่ธุรกิจไหนๆ ก็หันมาทำสิ่งที่ตัวเองถนัดกันมากขึ้น ทำให้เกิดการพาร์ทเนอร์ หรือทำงานร่วมกับองค์กรอื่น ล่าสุดคือ Nissan ที่ขายธุรกิจโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แล้วหันไปใช้แบตที่ร่วมพัฒนากับ LG แทน
เดินเกมตามรอยคู่แข่งที่ไม่ผลิตแบตเตอรี่เอง
ทุกองค์กรในอดีตต่างคิดว่าหากจะเริ่มต้นธุรกิจต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เพราะถ้าทำแค่สิ่งที่ถนัด แล้วไปหาพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจดีๆ สักคนมาช่วยเหลือก็น่าจะเป็นหนทางที่ถูกต้องกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Nissan ตัดสินใจขายธุรกิจโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองให้กับบริษัทจากจีน
โดยบริษัทนั้นคือ Envision Group ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทน และอยู่ระหว่างหาทางขยายธุรกิจที่เกี่ยวกับการคมนาคมอัจฉริยะต่างๆ เช่นรถยนต์ไฟฟ้า, Connected Car รวมถึง Smart City โดยโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทจากจีนจะได้ไปก็มีทั้งทีสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และญี่ปุ่น
และเมื่อไม่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่เป็นของตัวเอง Nissan ก็ตัดสินใจพาร์ทเนอร์กับ LG Chem เพื่อช่วยพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้กับ Leaf รุ่นถัดไปที่สามารถวิ่งได้ไกลขึ้น ผ่านกำลังไฟ 60 KwH และเตรียมเปิดตัวในปี 2562 ภายใต้ชื่อ Leaf e-Plus
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ผลิตรถยนต์ใช้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเอง เพราะ Tesla ก็พาร์ทเนอร์ธุรกิจกับ Panasonic เพื่อพัฒนาแบตเตอรี่ ส่วน LG Chem นอกจากทำแบตเตอรี่ให้ Nissan แล้ว ก็ทำให้ GM, Volvo, Hyundai, Kia และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ด้วย
ในทางกลับกันแบตเตอรี่ Leaf รุ่นก่อนๆ นั้นค่อนข้างมีปัญหา เพราะใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air Cooled Battery Pack) ทำให้การเก็บประจุไฟค่อนข้างมีปัญหา ต่างกับแบตเตอรี่ของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Cooled Battery Pack) ซึ่งแก้ปัญหาการเก็บประจุไม่ได้นาน
สรุป
ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ของ Nissan ที่โยนการผลิตแบตเตอรี่ให้ผู้ที่เชี่ยวชาญกว่าทำแทน แม้ตัวเองจะพัฒนาเทคโนโลยีนี้มาตั้งแต่ช่วงปี 2530 ด้วยตัวเองก็ตาม ดังนั้น Nissan น่าจะทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนให้ได้ดีกว่านี้ และสามารถเดินหน้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกได้อย่างสูสี
อ้างอิง // Green Car Reports
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา