เรื่องไร้ทายาทสืบทอดกิจการกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของญี่ปุ่นจริงๆ แม้แต่ Studio Ghibli ก็ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น แต่ตอนนี้หมดห่วงแล้ว เพราะ Nippon TV จะเข้ามาดูแลให้
Studio Ghibli ก่อตั้งมายาวนาน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 1985 เป็นบริษัทในเครือของ Tokuma Shoten โดย Studio Ghibli ผลิตภาพยนตร์อนิเมชันที่กำกับโดย Isao Takahata และ Hayao Miyazaki โดยมีที่ตั้งเดิมอยู่ที่ย่าน Kichijoji
จากนั้นในเดือนสิงหาคม ปี 1992 ก็เริ่มสร้างสตูดิโอของตัวเองในทำเลปัจจุบัน ต่อมา เดือนมิถุนายน 1997 ได้ควบรวมกิจการกับ Tokuma Shoten Co., Ltd และกลายเป็น Tokuma Shoten Co., Ltd./Studio Ghibli Company ต่อมาก็กลายเป็นสำนักงานใหญ่ของ Studio Ghibli
เดือนเมษายน 2005 ก็ได้ควบคุมงานอนิเมชันทั้งหมดของ Studio Ghibli และการดำเนินงานทั้งหมดของ Tokuma Shoten และได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งภายใต้ชื่อ Studio Ghibli Co., Ltd.
ในเดือนหน้า เดือนตุลาคม ปี 2023 กำลังจะเริ่มยุคใหม่ของ Studio Ghibli อีกครั้ง หลัง Nippon TV เข้าซื้อหุ้นของ Ghibli ซึ่งทาง Ghibli ก็ออกมาแถลงผ่านเว็บไซต์ว่า นี่ไม่ใช่การเข้ามาครอบงำของ Nippon TV เพราะทาง Ghibli เองก็มีผู้อำนวยการคือ Hayao Miyazaki ที่อายุมากถึง 82 ปีแล้ว ขณะที่โปรดิวเซอร์ Toshio Suzuki ก็อายุ 75 ปี สิ่งที่ Ghibli กำลังกังวลก็คือ คำถามที่ว่า แล้วใครจะรับช่วงต่อล่ะ?
สำหรับประเด็นการรับช่วงต่อของบริษัท Ghibli นั้น มีการคาดการณ์หลายครั้งหลายคราว่าน่าจะเป็น Goro Miyazaki ลูกชายของ Hayao แต่ Goro ก็ออกมาปฏิเสธแล้ว และเขาก็เชื่อว่าน่าจะเป็นความยากลำบากอยู่มากในการดูแล Studio Ghibli เพียงลำพัง น่าจะเป็นการดีกว่าหากจะฝากอนาคตบริษัทไว้กับผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ทาง Ghibli จึงได้พยายามพิจารณาผู้ที่จะมาดูแลองค์กรอยู่หลายรายด้วยกัน แต่ Nippon TV ก็ถือว่ามีความคุ้นเคย มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาหลายปีแล้ว
แถลงการณ์ของ Studio Ghibli ได้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วว่า โปรดิวเซอร์ Suzuki แห่ง Ghibli ได้มีโอกาสใช้เวลาในการหารือกับ Mikuni Sukiyama ประธานและผู้บริหารระดับสูงของ Nippon TV ที่รีสอร์ตบ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง
Suzuki ได้ถาม Sukiyama ว่า ถ้า Ghibli ยังอยากจะทำภาพยนตร์ต่อไป ทาง Nippon TV ยินดีที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการไหม? ทาง Sukiyama ก็ได้ให้คำมั่นไว้ว่า เขายินดีจะทำ ถ้าสิ่งนั้นมันจะช่วยส่งเสริมผลงานของ Ghibli และช่วยปกป้อง Ghibli ให้ผลักดันผลงานได้ต่อไป นี่คือบทสนทนาฝากฝังองค์กรของสองผู้บริหารที่จะช่วยรักษาให้ Ghibli ได้เติบโตต่อไป
Nippon TV มีสัมพันธ์อันดีกับ Studio Ghibli มาค่อนข้างยาวนาน นับตั้งแต่ที่ Nippon TV นำหนังที่กำกับโดย Hayao Miyazaki ในปี 1984 เรื่อง Nausicaa of the Valley of the Wind มาออกอากาศผ่านทีวีครั้งแรกในปี 1985 จากนั้นก็นำผลงานของ Ghibli มาออกอากาศทางทีวีเรื่อยมา
Nippon TV ระบุว่า ได้ทำงานกับ Ghibli มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว และยังได้ลงทุนในการผลิตหนังเรื่อง Kiki’s Delivery Service ด้วย (เป็นหนังที่ Miyazaki กำกับในปี 1989) และได้ร่วมสนับสนุนในการก่อตั้ง Ghibli Museum ที่ Mitaka ที่ก่อตั้งในปี 2001 ด้วย
เราร่วมมือกันมานาน Nippon TV จะทำให้ Sudio Ghibli ได้ผลิตผลงานที่หลายๆ คนที่รัก Ghibli ได้ติดตามผลงานต่อไป คนที่รัก Ghibli ไม่ได้มีแค่ในญี่ปุ่น แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ ด้วย เราจะอุดหนุน สนับสนุน Ghibli มากยิ่งขึ้น เรามั่นใจว่าเราจะช่วยปกป้อง Studio Ghibli ได้ตลอดไป ทั้งในมิติของการผลิตผลงานและการรักษาคุณค่าของแบรนด์ แน่นอนว่าจะเดินหน้าผลิตภาพยนต์อนิเมชัน และส่งเสริมการดำเนินกิจการในด้านของ Ghibli Museum และ Ghibli Park ต่อไป
หลังจากที่หารือกัน คณะกรรมการบริหารของทั้งสององค์กรได้ตัดสินใจที่จะสนับสนุน Ghibli ต่อไป โดย Nippon TV เข้าซื้อหุ้นของ Studio Ghibli 42.3% เป็นสัดส่วนของผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด โดยผู้บริหารระดับสูงของ Nippon จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการให้ Ghibli ด้วย
สำหรับผลงานล่าสุดของ Studio Ghibli ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2023 ก็คือภาพยนตร์ที่กำกับโดย Hayao Miyazaki เรื่อง How Do You Live? หรือ The Boy and the Heron ใช้เวลาผลิตยาวนานถึง 7 ปีเต็มกว่าจะออกมาฉายเป็นภาพยนตร์ได้
ปัจจุบัน Studio Ghibli มีคนทำงาน 190 คน ประกอบกิจการหลายด้านด้วยกัน ทั้งวางแผนและผลิตภาพยนตร์อนิเมชัน ผลิตวิดีโอเกมที่มาจากหนังอนิเมะ จัดการเรื่องลิขสิทธิ์เพลง หนัง กระบวนการผลิตทั้งหมดของ Studio Ghibli และยังมีพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงผลงานของ Ghibli ที่ Ghibli Museum รวมถึงคาเฟ่และร้านที่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวด้วย
ด้าน Nippon TV หรือ Nippon Television Holdings, Inc. ก่อตั้งมานานตั้งแต่ 28 ตุลาคม ปี 1952 มีพนักงาน 1,380 คน ทุนเรือนหุ้นอยู่ที่ 6 พันล้านเยนหรือประมาณ 1.45 พันล้านบาท
ที่มา – SoraNews24, Ghibli (1), (2), Nippon TV (1), (2)
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา