Nike หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดัง ที่ได้พิสูจน์ตัวเองในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า การลงทุนจำนวนมหาศาลในระบบดิจิทัล เป็นเรื่องที่คุ้มค่า จากจำนวนลูกค้าที่กลับเข้ามายังเว็บไซต์ออนไลน์ และแอปพลิเคชันของ Nike ที่เพิ่มขึ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Nike เปลี่ยนกลยุทธ์การขาย จากเดิมที่เคยให้ความสำคัญกับการนำสินค้าไปวางขายในห้างสรรพสินค้า หรือร้าน Outlet ขนาดใหญ่ เปลี่ยนเป็นการหันไปลงทุนเปิดร้านเล็กๆ ตามแหล่งชุมชน ในชื่อว่า Nike Live เพื่อให้บริการรับสินค้าสำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อของออนไลน์ แต่รับของที่ร้านค้า รวมถึงร้านค้าระดับเรือธงของ Nike ในชื่อว่า House of Innovation
นอกจากนี้ Nike ยังทดลองร้านค้าแบบใหม่ในประเทศจีน ในชื่อว่า Nike Rise ที่ลูกค้าสามารถเปิดแอปพลิเคชัน Nike ภายในพื้นที่ร้าน และเลือกลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอล หรือสมัครเข้าชมรมคนวิ่งก็ได้
แม้ว่าปัจจุบันร้าน Nike หลายๆ แห่งจะเริ่มเปิดให้บริการตามปกติแล้ว แต่ยอดขายสินค้าออนไลน์ของ Nike ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 82% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มากกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เกิดจาก การตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Nike ไปสู่บริษัทที่ใช้ระบบ Digital First ซึ่งทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น จากที่แต่เดิมลูกค้าเคยซื้อของที่หน้าร้านแบบเดิมๆ
ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 Nike เคยคาดการณ์ว่ายอดขายออนไลน์จะมีสัดส่วน 30% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2023 แต่ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายออนไลน์เกิน 30% ไปแล้ว โดยคาดการณ์ว่าภายในปีหน้า ยอดขายออนไลน์ จะมีสัดส่วนถึง 50%
ไม่ใช่แค่ Nike ที่ยอดขายออนไลน์โต
นอกจาก Nike ที่หันมาเน้นการขายออนไลน์อย่างเต็มตัวแล้ว บริษัทอื่นๆ ก็หันมาเน้นการขายออนไลน์เช่นเดียวกัน เช่น Walmart ที่เพิ่งจะประกาศจ้างพนักงานใหม่กว่า 20,000 คน เพื่อทำหน้าที่บรรจุ และขนส่งสินค้าที่สั่งผ่านระบบออนไลน์ ส่วน Lululemon ก็มียอดขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 157% ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา
จากความนิยมในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นนี้ เกิดจากความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น เสื้อ และกางเกง ที่สามารถใส่ออกกำลังกายได้ในช่วงที่ต้องทำงานที่บ้าน โดยในจำนวนนี้ เสื้อผ้าออกกำลังกายสำหรับผู้หญิง มียอดขายสูงขึ้นกว่า 200%
ที่มา – cnbc
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา