บางครั้งการทำอะไรด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีคนอื่นช่วยก็ดีกว่า โดยเฉพาะการขายของที่เราสามารถคุมทุกอย่างด้วยตนเอง ก็เหมือนกับกรณี Nike ที่ขอขายสินค้าบน Amazon เอง เพราะน่าจะทำทุกอย่างได้ดีกว่าให้คนอื่นขายให้
ปั๊มยอดขายในสหรัฐฯ แตะ 500 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ Nike มีการจำหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ Amazon อยู่แล้ว แต่เป็นการขายทั้งหมดทำโดยพ่อค้าคนกลาง หรือร้านค้ารายย่อย (Third-Party Seller) ที่ซื้อสินค้าราคาส่งไปจาก Nike และไปตั้งหน้าร้านที่นั่น ทำให้ Nike เองไม่สามารถคุมราคา และคุณภาพในการขายได้มากเท่าที่ควร
ดังนั้นดีลธุรกิจครั้งนี้จึงเกิดขึ้น โดยยักษ์ใหญ่อุปกรณ์กีฬามองว่าจะช่วยให้ใกล้ชิดลูกค้า และเรียนรู้พฤติกรรมเพื่อนำมาพัฒนาเป็นแผนการตลาดได้มากกวว่าเดิม ที่สำคัญ Goldman Sachs บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกยังเห็นด้วยกับดีลครั้งนี้ และคาดกว่ายอดขายในสหรัฐอเมริกาของ Nike จะเพิ่มจาก 300 เป็น 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย หรือ 1% ของยอดขายทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม Nike ไม่ใช่รายแรกที่เข้ามาขายสินค้าโดยตรงกับ Amazon เพราะ Adidas และ Under Armour ก็ทำเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว และมีการทำโปรโมชั่น รวมถึงนำเสนอสินค้าบน Amazon ในรูปแบบต่างๆ เช่น Pop-up โปรโมชั่นใหม่ทันทีที่เข้าหน้าอุปกรณ์กีฬา ทำให้ Nike ที่เป็นรายใหม่อาจถูกรับน้องไม่ใช่น้อย
ในทางกลับกันการเจรจาธุรกิจระหว่าง Nike กับ Amazon ย้ำเหตุการณ์ Retail Apocalypse ให้ชัดขึ้นไปอีก เพราะกลุ่มค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาตอนนี้ค่อนข้างรอดยาก เช่น Dick’s Sporting Goods กับ Foot Locker ต่างก็มียอดขายหดตัวอย่างต่อเนื่อง คงไม่แปลกที่ Nike ต้องหาช่องทางใหม่ เพื่อจับกลุ่ม Millennial ที่เป็นผู้ซื้อหลักให้ได้มากที่สุด
สรุป
Nike มีเว็บไซต์จำหน่ายสินค้าของตนเองอยู่แล้ว แต่การเข้ามาจริงจังกับการขายผ่านแพลตฟอร์มอื่นก็จำเป็นเช่นกัน เพราะหากมีแค่หน้าร้านออนไลน์ของตนเอง ก็ต้องรอผู้บริโภคเข้ามาหา แต่การกระจายหน้าร้านออกไปแพลตฟอร์มอื่น ก็เหมือนกับการขยายจุดจำหน่ายตามร้านขายอุปกรณ์กีฬาในอดีต ซึ่งมันช่วยเพิ่มยอดขาย และโอกาสได้
อ้างอิง // Business Insider, Recode
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา