หลังปล่อยให้ข่าวลือมานาน ในที่สุด MINI ค่ายรถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ปัจจุบันมีกลุ่ม BMW เป็นเจ้าของก็เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนสักทีในชื่อ MINI Cooper SE แต่พอมาดูสเปกกันดีๆ กลับไม่คุ้มเท่ากับระยะเวลาที่รอเท่าไรนัก
รถยนต์ไฟฟ้าล้วนกับหลากข้อจำกัด
คงปฏิเสธได้ยากว่า MINI นั้นทำรถยนต์ออกมาเพื่อตอบโจทย์ Mass Market เพราะด้วยขนาดที่กระทัดรัด ประกอบกับตัวราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบสเปกกับรถยนต์แบรนด์อื่น แต่การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการทำตลาดที่ชูความเป็นอีก Lifestyle ในการขับขี่ ก็ทำให้หลายคนอยากครอบครอง MINI ไว้สักคัน
ยิ่งตอนนี้กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงมาก ความต้องการให้ MINI ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมามันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลังจากรอมาพักใหญ่ๆ มันก็เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เพราะ MINI ได้เปิดตัว MINI Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่มากับโฉมคุ้นเคย เพราะใช้โครงเดียวกับรุ่นเครื่องน้ำมัน แต่ความคุ้นเคยนี้เองกลับเป็นจุดอ่อนของรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นนี้
อย่างแรกคือด้วยขนาดที่เล็กทำให้การออกแบบแบตเตอรี่ และตัวมอเตอร์ไฟฟ้ามีพื้นที่จำกัด จนความจุแบตเตอรี่เหลือเพียง 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือหลังจากชาร์จเต็มจะวิ่งได้ 235 ถึง 270 กม. รวมถึงตัวฝากระโปรงหน้าแทนที่จะเป็นที่เก็บของเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นอื่น ก็กลายเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าแทน
0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที
ทั้งนี้การใช้ระบบไฟฟ้าล้วนทำให้ MINI Cooper SE ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที เพราะมีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิด 270 นิวตันเมตรตั้งแต่เหยียบคันเร่ง โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะเริ่มผลิตที่โรงงานในอังกฤษตั้งแต่เดือนพ.ย. 2562 เป็นต้นไป และเปิดให้ผู้สนใจบางประเทศลงทะเบียนจองได้แล้ว
ส่วนตัวราคากลางนั้นยังไม่แน่นอน แต่ในเยอรมนีเปิดจองในราคาเริ่มต้น 32,500 ยูโร (ราว 1.12 ล้านบาท) ส่วนรุ่นปกติ (MINI Cooper) นั้นมีราคาขายที่เยอรมนีที่ 21,650 ยูโร (ราว 7.47 แสนบาท) เรียกว่าหากต้องการรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าต้องจ่ายแพงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ MINI ยังมีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นอื่นๆ หลังจากนี้เช่นเดียวกัน เพื่อเดินตามแผน BMW Group ที่ต้องการเดินเกมรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยมีข่าวลือออกมาว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อไปของ MINI จะได้แรงบันดาลใจจากรุ่นต้นแบบ Rocketman และจะเปิดตัวในปี 2565
งานหินสำหรับรถยนต์ MINI ในตลาดนี้
อาจเพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยี หรือการยึดติดในรูปลักษณ์ ทำให้การออกแบบโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของ MINI นั้นทำได้ลำบาก ซึ่งต่างจากแบรนด์อื่นๆ เช่น Audi, Jaguar หรือ Mercedes-Benz ที่ต่างเริ่มทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนด้วยรถยนต์แบบ SUV ก่อน
เนื่องจากตัวโครงสร้างที่ใหญ่ทำให้การวางแบตเตอรี่ และออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้านั้นทำได้สะดวกกว่า ประกอบกับพื้นที่ใหญ่นี้เองก็ทำให้ขนาดความจุแบตเตอรี่นั้นมากขึ้นด้วย จนทำให้เดินทางได้ 300-400 กม. หลังจากชาร์จเต็ม ดังนั้นมันไม่ง่ายแน่ๆ ที่ MINI จะเดินเกมนี้
สำหรับตลาดประเทศไทยเองนั้นยังไม่มีความชัดเจนของการนำ MINI Cooper SE มาจำหน่าย เพราะปัจจุบันยังไม่มีการประกาศช่วงเวลาทำตลาดอย่างเป็นทางการในระดับโลกที่ชัดเจน แต่ก็เชื่อว่าใครที่เป็นแฟน MINI อยู่แล้วก็น่าจะควักกระเป๋าซื้อได้อย่างไม่ลำบากใจนัก
สรุป
ก่อนหน้านี้หลายฝ่าย รวมถึงตัวผมเองก็คาดหวังว่า MINI จะทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาได้ใกล้เคียงกับที่แบรนด์อื่นๆ เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนไปก่อนหน้านี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันกลับไม่เปิดอย่างนั้น และการจะไปชน LEAF ของ Nissan หรือรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นอื่นๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา