ในยุคที่ “ความยั่งยืน” (Sustainability) ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “ทางรอด” ของธุรกิจ และ Gen Z กลายเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนแนวคิดเรื่องความยั่งยืน พร้อมกับเป็นตลาดแรงงานสำคัญในอนาคต คำถามสำหรับองค์กรขนาดใหญ่คือ ทำอย่างไรจะเชื่อมโยงทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน

เนสท์เล่ (Nestlé) กำลังให้คำตอบผ่านหลักสูตรด้านความยั่งยืนโมเดลใหม่ “Sustainability Beyond Business: Insight-Action-Solution” ที่เนสท์เล่ออกแบบมาสำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยปักหมุดประเดิมสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นแห่งแรก
นี่จึงเป็นการลงทุนใน “ทรัพยากรมนุษย์แห่งอนาคต” ที่สะท้อนเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน
ถอดรหัสหลักสูตร “Sustainability Beyond Business: Insight-Action-Solution” ไม่ใช่แค่สอน แต่คือการ “สร้างคน” โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน 3 ประการ
- สร้าง Mindset เน้นสร้างวิธีคิดที่ผสานความยั่งยืนเข้ากับการตัดสินใจทางธุรกิจ ไม่ใช่แต่การให้ความรู้ (Knowledge)
- สร้างทักษะจากตัวอย่างจริง ให้นักศึกษาเรียนรู้การใช้งานจริง (Real-world application) จากแนวปฏิบัติ และประสบการณ์ตรง (Experiences) ของเนสท์เล่
- สร้าง Employer Branding ตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรที่ Gen Z อยากร่วมงานและเป็นส่วนหนึ่ง เพราะเนสท์เล่มุ่งเน้น “การสร้างคุณค่าให้สังคม” (Creating Shared Value) ควบคู่ไปกับ “การดำเนินธุรกิจ” (Business)

เจนิกา คอนเด ครูซ หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ให้ข้อมูลกับ Brand Inside ว่า หลักสูตรนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับโลกอย่าง “Nestlé Needs YOUth” ที่มุ่งช่วยเหลือเยาวชน 10 ล้านคนทั่วโลกให้เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจภายในปี 2030 โดยมุ่งสนับสนุนการจ้างงาน การเป็นผู้ประกอบการ และการเป็นผู้ประกอบการทางด้านการเกษตร
“สำหรับเนสท์เล่ ‘ความยั่งยืน’ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สิ่งที่บริษัลงมือทำตลอดห่วงโซ่คุณค่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการส่งเสริมศักยภาพให้ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา โดยเชื่อมั่นในศักยภาพของเยาวชนในฐานะพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืน”
คำพูดนี้สะท้อนว่า เนสท์เล่ไม่ได้มองนักศึกษาเป็นเพียง “ผู้รับ” ความรู้ แต่คือ “อนาคต” สำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050

เนสท์เล่ ประเทศไทย ประกาศแผนงาน Net Zero 2050 Roadmap มาตั้งแต่ปี 2021 โดยมี 4 แนวทางที่ชัดเจน
- การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน (Sustainable Sourcing)
- การดูแลทรัพยากรน้ำ (Water Stewardship)
- ความยั่งยืนของบรรจุภัณฑ์ (Packaging Sustainability)
- การลดการปล่อยคาร์บอน (Carbon Reduction)
หลักสูตร “Sustainability Beyond Business: Insight-Action-Solution” เปรียบเสมือนการ “เพาะเมล็ดพันธุ์” โดยเนสท์เล่กำลังแบ่งปัน “ความรู้และประสบการณ์” ของจริง ว่าบริษัทระดับโลกจัดการกับปัญหาซัพพลายเชน เริ่มตั้งแต่เกษตรกรรม การผลิต การออกแบบบรรจุภัณฑ์ หรือการจัดหาพลังงานทดแทนอย่างไร
ทั้งยังมีการทำงานร่วมกับคณาจารย์จากมหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานลงลึกด้านความยั่งยืน และภาคเอกชนอื่น ๆ มาร่วมถ่ายทอดทั้งองค์ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมร่วมกันคิดหาโซลูชันที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในโลกปัจจุบัน
นักศึกษาที่ผ่านคอร์สนี้ จะไม่ได้แค่ประกาศนียบัตร แต่จะได้ “วิธีคิด” และ “วิธีปฏิบัติ” แบบเดียวกับที่องค์กรระดับโลกใช้ พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มคนที่ “พร้อมใช้” ทันทีที่เรียนจบ

ทำไมต้องเริ่มที่ มช. และก้าวต่อไปคืออะไร?
การเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ถือเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยหลักในภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านความยั่งยืน ทั้งในมิติของเกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหา PM2.5
นี่คือการนำความรู้ไปสู่ “พื้นที่จริง” ที่ต้องการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เนสท์เล่ พร้อมที่จะขยายหลักสูตรนี้ไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้าง “ชุมชนแห่งความยั่งยืน” (Sustainability Community) ในกลุ่มเยาวชนให้ขยายวงกว้างออกไป

จาก “ทักษะสีขาว” สู่ “ทักษะสีเขียว”
ในอดีต ตลาดแรงงานมองหา “White-Collar” (พนักงานออฟฟิศ) ที่มีทักษะด้านการบริหารจัดการ แต่ในวันนี้และอนาคต องค์กรต่างมองหา “Green-Collar” หรือบุคลากรที่มี “ทักษะสีเขียว” (Green Skills)
การเคลื่อนไหวของเนสท์เล่ครั้งนี้ จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังตลาดแรงงานว่า “ความยั่งยืน” เป็น “ทักษะพื้นฐาน” (Core Skill) ที่ทุกคนในองค์กรต้องมี ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายการตลาด การเงิน หรือซัพพลายเชน
สำหรับนักศึกษา นี่คือโอกาสในการติดอาวุธทักษะที่นายจ้างกำลังมองหา
สำหรับเนสท์เล่ นี่คือการลงทุนที่ชาญฉลาดในการสร้าง “กองทัพ” คนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขององค์กร และสำหรับภาคธุรกิจ นี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยน “ความมุ่งมั่น” ด้านความยั่งยืน ให้กลายเป็นการ “ลงมือทำ” ที่จับต้องได้จริง ผ่านการลงทุนที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “การลงทุนในคน”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา