ทำความรู้จัก Nayuki: ชานมไข่มุกหมื่นล้านสัญชาติจีน ชาจากคนหลงรักชา ก่อตั้งโดยคู่รักชาวจีน

ชานมไข่มุกของคู่รักชาวจีนกำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟูจริงๆ หลังทำ IPO แล้ว ชานมไข่มุก Nayuki มีมูลค่าสูงมากกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณกว่า 7 หมื่นล้านบาท

Nayuki Bubble Tea

Nayuki เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจชานมไข่มุกที่คู่รักชาวจีน Peng Xin และสามีของเธอ Zhao Lin ร่วมกันก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2015 บริษัทชานมไข่มุกนี้ก่อตั้งด้วยความหลงใหลในกลิ่นของขนมปังจากเตาอบร้อนๆ ที่เสิร์ฟพร้อมชารสชาติอร่อยฝีมือแม่ของเด็กหญิง Lita Peng (หรือ Peng Xin) ชาที่มีรสชาติอัศจรรย์ใจ ขนมปังอุ่นๆ หอมๆ จากเตาร้อนและเสียงหัวเราะจากครอบครัวคือส่วนผสมที่ลงตัวรวมเป็นตัวแทนความสุขของเธอ Peng Xin ผู้ร่วมก่อตั้ง Nayuki

Nayuki คือตัวแทนความรักที่มีต่อชาของ Peng Xin ตั้งแต่แรกเริ่ม เธอมีความสุขกับการทำชาและส่งต่อความฝันที่จะสร้างอุตสาหกรรมชาที่ทำให้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีความกระปรี้กระเปร่า ตื่นเต้นและนำส่งความสุขให้กับนักดื่มชายุคใหม่ เพียงระยะเวลาสั้นๆ หลังก่อตั้งร้าน Nayuki สามารถมีหน้าร้านได้มากถึง 350 แห่งใน 51 เมืองของจีน

Nayuki
ตัวอย่างเครื่องดื่มจาก Nayuki

ร้านชานมไข่มุก Nayuki นี้ไม่ใช่ร้านที่เกิดขึ้นจากความรักและลุ่มหลงในชาและเบเกอรี่ของ Peng Xin อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นร้านชาที่เกิดจากคนรักกันอย่าง Peng และ Zhao ด้วย ทั้งสองพบรักกันและแต่งงานกันที่เซินเจิ้น เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฮับเทคโนโลยีของจีน เมืองที่ Peng ทำงานอยู่ในบริษัทซอฟต์แวร์มาก่อน ก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัทชานมไข่มุก Nayuki ร่วมกับคนรักของเธอ Zhao Lin ประธานบริษัทที่ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ในบริษัทแวดวงอาหารหลากหลาย ทั้งคู่มีหุ้นอยู่ใน Nayuki ราว 28%

ข้อมูลจากเว็บไซต์ระบุว่า ชาจาก Nayuki เป็นชาระดับพรีเมียมปลูกให้เติบโตอยู่ในสวนชาของตัวเองพร้อมขนมปังสไตล์ยุโรปที่พัฒนาโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเบเกอรี่จากญี่ปุ่น ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ล่าสุดทำ IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงได้มากถึง 656 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท

Peng Xin กรรมการบริหารและผู้จัดการร้านให้สัมภาษณ์ว่า เธอใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการทุ่มเททำเครื่องดื่มเพื่อทดลองตลาด กว่าจะเปิดร้านสาขาแรกได้ใช้เวลานาน โดย 3 สาขาแรกของ Nayuki เปิดที่ทางตอนใต้ของเมือง Shenzhen (เซินเจิ้น) จากนั้นเครื่องดื่มชาระดับไฮเอนด์นี้ก็บูมขึ้นมากจนสามารถขยายหน้าร้านได้มากกว่า 560 สาขากว่า 70 เมืองซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในจีน

ชานมไข่มุกถือกำเนิดขึ้นในไต้หวันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จากนั้นก็ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วเอเชีย นอกจากไข่มุกที่ทำจากแป้งมันสำปะหลังแล้ว Nayuki ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่แตกต่างจากร้านชาไข่มุกทั่วไป เช่น ผลไม้สดหรือครีมชีสที่ราดบนชานมไข่มุก

ชานมไข่มุกของ Nayuki นี้สามารถระดมทุนได้มากถึง 656 ล้านเหรียญสหรัฐและยังมีส่วนแบ่งตลาดราว 19% ของปี 2020 ถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของตลาด รองจากชาเจ้าใหญ่แบรนด์ HeyTea ซึ่งหน้าร้าน Nayuki นี้แตกสาขาอยู่ในตัวเมืองของจีนกว่า 90% ส่วนใหญ่เป็นเมืองที่เจริญอันดับต้นๆ ของจีนและยังขยายสาขาไปยังฮ่องกงและญี่ปุ่นด้วย

บริษัท Nayuki ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มกว่า 300 สาขาในปีนี้ และจะขยายเพิ่มอีกราว 350 สาขาในปี 2022 ร้านส่วนใหญ่ที่กำลังจะเปิดนี้จะมีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Nayuki PRO จะมีการขายกาแฟและเบเกอรี่เพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดคนทำงานออฟฟิศมากขึ้น

Nayuki Bubble Tea
ภาพจาก Nayuki

Peng เล่าว่า ปีที่ผ่านมา Nayuki จะปล่อยเครื่องดื่มใหม่ๆ ทุกสัปดาห์ เพื่อรักษาฐานลูกค้าที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการที่ร้านเรื่อยๆ หลังจากที่โควิดระบาด ยอดขายส่วนใหญ่ตอนนี้ก็มาจากยอดขายออนไลน์แทบทั้งนั้น ช่วงหลังโควิดระบาด ยอดขายของ Nayuki มาจากออนไลน์ราว 70% ลูกค้าที่เคยมาแฮงก์เอาท์ที่ร้านเป็นกลุ่ม คราวละ 3-4 คน ตอนนี้ก็หันมาสั่งเครื่องดื่มออนไลน์แทน 

Peng พยายามลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของร้านมากขึ้นด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติแทนแรงงานคน ซึ่งก็มีทั้งในส่วนของการตัดผลไม้สดและการนวดแป้ง เธอคาดหวังว่า Nayuki จะสามารถเป็นแบรนด์ที่ทำให้ลูกค้ายินดีที่จะกลับมาหา มาใช้บริการได้ทุกวัน เธอต้องการให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำได้ตลอดชีวิต รายได้บริษัทปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.1 พันล้านหยวน หรือประมาณ 480 ล้านเหรียญสหรัฐ ขาดทุนราว 203 ล้านหยวน

ด้าน Jason Yu กรรมการผู้จัดการบริษัทวิจัย Kantar Worldpanel Greater ให้ความเห็นว่า Nayuki และบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมนี้จะสามารถประสบความสำเร็จจากการสร้างรายได้เช่นนี้ยาวนานแค่ไหน

ขณะที่ Kenny Ng นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก Everbright Sun Hung Kai จากฮ่องกง ระบุว่า Nayuki อาจจะประสบความสำเร็จในการขยายสาขา แต่จะสามารถทำได้ยาวนานแค่ไหนในระยะยาว Nayuki อาจจะมีโอกาสที่จะเพิ่มผลกำไรและขยายสาขาได้อีกใน 3-5 ปีข้างหน้า แต่ความท้าทายที่แท้จริงก็คือ การเติบโตอย่างยั่งยืนหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่างหากที่สำคัญกว่า

ที่มา – Bloomberg, Nayuki

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา