เมื่อราคาเป็นกำแพงใหญ่ MUJI ประเทศไทยจึงแก้เกมด้วยปรับราคาลง 20%

เปิดกลยุทธ์ MUJI ประเทศไทย กับความท้าทายในการปรับโครงสร้างราคาลดลงให้ใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น โดยทยอยปรับราคาลง 20-25% มาเรื่อยๆ เพื่อคืนกำไรให้ลูกค้า

ปรับราคาให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เชื่อว่าหลายคนในประเทศไทยต้องเป็นสาวกของแบรนด์ MUJI กันเยอะพอสมควร ซึ่ง MUJI เป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีจุดเด่นที่ความมินิมอล น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ เป็นสินค้าที่แม้ไม่ติดโลโก้ก็ดูรู้ว่าเป็น MUJI อย่างแน่นอน เพราะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

MUJI ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2006 ปัจจุบันก็ถือว่าเดินทางมา 13 ปีแล้ว ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้ได้รับแฟรนไชส์เข้ามาทำตลาดในไทย เป็นโมเดลการร่วมทุนกันกับ บริษัท เรียวฮินเคคาขุ จำกัด เจ้าของแบรนด์ MUJI ในประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด

MUJI สาขาแรกเปิดที่เซ็นทรัลชิดลม ปัจจุบันมีทั้งหมด 19 สาขาแล้ว

ถึงแม้ MUJI จะมีแฟนคลับที่ติดตามแบรนด์อยู่ตลอด แต่ก็ต้องบอกว่าข้อจำกัดของแบรนด์ MUJI ในไทยก็คือเรื่อง “ราคา” เพราะมีราคาที่สูงกว่าที่ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ทำให้เรื่องราคาเปรียบเสมือนกำแพงอันใหญ่ที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงได้เท่าที่ควร

ทีนี้ความท้าทายใหญ่ของ MUJI จึงเป็นเรื่องของการปรับราคาให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เมื่อหลายปีก่อนทางแบรนด์ก็เคยบอกในยุทธศาสตร์ MUJI2020 ว่าจะมีการปรับโครงสร้างราคาให้ใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นใหม่มากที่สุด

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาทาง MUJI ในประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีการประกาศปรับโครงสร้างราคาครั้งใหญ่ ปรับราคาลงถึง 1,100 รายการ โดยให้เหตุผลว่า

“ทางบริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ มีการเลือกพื้นที่ และวัสดุในการผลิตสินค้าใหม่ รวมไปถึงเรื่องของระบบการจัดจำหน่ายที่มีความคล่องตัวมากขึ้น มีผลทำให้ต้นทุนถูกลง” ทาง MUJI ไม่ยอมเก็บกำไรไว้เอง แต่ยอมที่จะปรับโครงสร้างราคาให้ถูกลง

นโยบายนี้ก็มีผลที่ประเทศไทยเช่นกัน พบว่ามีการปรับโครงสร้างราคาสินค้าในไทยลง 20-25% เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยที่มีการทยอยปรับมาเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน ทำให้ตอนนี้มีสินค้าที่ปรับราคาลงแล้วรวมทั้งหมดกว่า 3,000 รายการ

กลุ่มสินค้าที่มีการปรับราคาลงมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเครื่องเขียน และกลุ่มสินค้าสุขภาพ และความงาม เพราะเป็นสินค้าที่ขายดีของ MUJI ยกตัวอย่าง ปากกา ลดราคาจาก 35 บาท เหลือ 29 บาท หลังจากที่ได้ปรับราคาลงก็พบว่ามีผลตอบรับที่ดี มียอดขายเพิ่มขึ้นทั้งในแง่มูลค่า และปริมาณ รวมถึงสินค้ากลุ่ม Aroma ลดราคาจาก 2,780 บาท เหลือ 2,490 บาท เป็นสินค้าที่ขายดีของ MUJI เช่นกัน

“แต่ละประเทศมีนโยบายการตั้งราคาไม่เหมือนกัน แต่สามารถเสนอไปที่บริษัทแม่ได้ว่าขอลดราคาสินค้าตัวนี้ ถ้าสินค้าตัวไหนขายดี หรือสินค้าตัวไหนที่มีการลดต้นทุนได้ ก็มีการปรับราคาลง”

เปิดสาขาใหญ่สุดในไทย เพิ่มมุมร้านกาแฟ

ปัจจุบัน MUJI ในประเทศไทยมีทั้งหมด 19 สาขา โดยที่สาขาล่าสุดเปิดที่ “สามย่านมิตรทาวน์” กลายเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพื้นที่รวม 1,925 ตารางเมตร มีพื้นที่ใหญ่กว่าแฟล็กชิพสโตร์ที่ ZEN ที่มีพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรเสียอีก

ความสำคัญของสาขาสามย่านมิตรทาวน์ก็คือมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทำให้มีการโชว์สินค้าได้เต็มที่ แถมยังมีบริการใหม่ๆ โซนใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคมากขึ้นด้วย

ไฮไลท์สำคัญของสาขานี้คือการที่มี Coffee Corner หรือมุมกาแฟ MUJI ที่เป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่มีมุมเล็กๆ ไว้จิบกาแฟ นั่งชิลล์ ทางแบรนด์ย้ำมาว่าเป็นเพียงมุมกาแฟเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเป็น Cafe MUJI

มุมกาแฟที่สาขานี้ได้ร่วมมือกับ “ดอยตุง” ในการใช้เมล็ดกาแฟ และมีเบเกอรี่จากร้าน 60 Plus Bakery ซึ่งปกติร้าน MUJI ในไทยจะมีจำหน่ายสินค้าจากดอยตุงอยู่แล้ว เช่น เม็ดกาแฟ ขนม และสินค้าเซรามิกต่างๆ โดยที่ Cafe MUJI ในประเทศญี่ปุ่นก็ใช้กาแฟจากดอยตุงเช่นกัน

ส่วนโมเดลที่มีร้านกาแฟภายในร้าน MUJI นั้น ตอนนี้มีอยู่ 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น, ไต้หวัน และสิงคโปร์

เหตุผลที่สาขาสามย่านมิตรทาวน์มีมุมกาแฟเพิ่มเข้ามานั้น เพราะว่ามีพื้นที่ใหญ่ สามารถจัดสรรพื้นที่ให้นั่งเล่นได้ นั่งคอยได้ ให้ลูกค้าได้ใช้เวลาในร้านได้มากขึ้น ในสาขาอื่นๆ มีพื้นที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถมีมีมุมกาแฟได้ อีกทั้งยังเป็นทำเลที่อยู่ใกล้สถานศึกษา ใกล้กลุ่มเป้าหมายสำคัญคือคนรุ่นใหม่

ปัจจุบัน MUJI ประเทศไทยมีสินค้ารวมทั้งหมดกว่า 70,000 รายการ แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ของใช้ในบ้าน (เฟอร์นิเจอร์, สินค้าสุขภาพ ความงาม) เสื้อผ้า และอาหาร

5 สาขาที่มียอดขายดีที่สุด ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลเอ็มบาสซี, เมกา บางนา และเซ็นทรัลชิดลม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา