“ซื้อประกันชีวิตไปทำไม?” เมืองไทยประกันชีวิต ตอบโจทย์คนลังเล ด้วย “Muangthai Flexi Protection”

“ซื้อประกันชีวิตไปทำไม ในเมื่อคนซื้อไม่ได้ใช้?”
“จ่ายเบี้ยทิ้งหรือเปล่า?”
“ห่วงสุขภาพตอนแก่มากกว่า แต่ก็ต้องมีหลักประกันให้คนข้างหลัง”

เสียงความลังเลในหัวของคนยุคใหม่ ที่มองประกันชีวิตเป็นมรดกสำหรับคนข้างหลัง มากกว่าเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ ความลังเลนี้เป็น “Pain Point” สำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากชะลอการตัดสินใจทำประกัน

เมืองไทยประกันชีวิต (Muangthai Life Assurance) “หยุดทุกเสียงลังเล” ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “Muangthai Flexi Protection” (เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น) ที่ชูจุดขายชัดเจนว่าเป็นประกันชีวิตที่ “คนซื้อได้ใช้จริง”

ถอดรหัสอินไซต์ “คนซื้อไม่ได้ใช้”

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ระบุว่า ผลิตภัณฑ์นี้พัฒนามาจากแนวคิด “Customer Centric” โดยเจาะลึกไปที่อินไซต์จริงของกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มหลัก ที่มักมีความลังเลในการซื้อประกันชีวิต

  1. กลุ่มคนวัยทำงาน มีงบประมาณจำกัด กังวลทั้งอนาคตตัวเอง (สุขภาพ) และภาระของคนข้างหลัง (พ่อแม่/ครอบครัว) แต่ไม่อยากจ่าย “เบี้ยทิ้ง”
  2. กลุ่มคนรักสุขภาพ ยังมองไม่เห็นประโยชน์ของประกันชีวิตในวันนี้ เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแรง และกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลในวัยเกษียณมากกว่า
  3. กลุ่มเสาหลักครอบครัว ต้องการหลักประกันให้ลูก แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นภาระให้ลูกหลานในยามแก่ชรา

โจทย์หลักที่เมืองไทยประกันชีวิตพยายามแก้ คือการทำลายความเชื่อเดิมที่ว่า ประกันชีวิตมีไว้สำหรับ “การเสียชีวิต” เท่านั้น

กลยุทธ์ “Flexi” เปลี่ยนทุนชีวิตเป็นค่ารักษา

ความโดดเด่นของ “Muangthai Flexi Protection” คือ “ความยืดหยุ่น” (Flexibility) ในการปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ให้เข้ากับช่วงชีวิต 

กลไกสำคัญที่ใช้ตอบโจทย์ “คนซื้อได้ใช้จริง” คือ การอนุญาตให้ผู้เอาประกันสามารถ “เปลี่ยน” ทุนประกันชีวิต มาเป็น “ค่ารักษาพยาบาล” ได้เมื่ออายุครบ 65 ปี*

นี่คือการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่ปกติจะถูกส่งต่อเมื่อเสียชีวิต (Death Benefit) ให้กลายเป็นสวัสดิการสุขภาพสำหรับตัวเองในวัยเกษียณ (Living Benefit) ซึ่งเป็นช่วงวัยที่คนส่วนใหญ่กังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลมากที่สุด โดยวงเงินสุขภาพนี้จะครอบคลุมทั้งค่ารักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD)

ถูกออกแบบมาเพื่อลดความกังวลในหลายมิติ

โครงสร้างของ “Muangthai Flexi Protection” มีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้

  • ครบจบในกรมธรรม์เดียว รวมความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพไว้ด้วยกัน
  • ล็อคต้นทุน จ่ายเบี้ยคงที่ 20 ปี ไม่ปรับเพิ่มตามอายุ ซึ่งช่วยในการวางแผนการเงินระยะยาว
  • คุ้มครองยาว ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
  • ยังคงเป็นมรดก ในกรณีที่เสียชีวิต ทุนประกันส่วนที่เหลือ (หลังจากอาจมีการแปลงไปใช้เป็นค่ารักษาแล้ว) จะยังคงถูกส่งต่อให้ผู้รับผลประโยชน์

นี่ถือเป็น “นวัตกรรมประกันชีวิตเจ้าเดียวในตลาด” ที่มอบความยืดหยุ่นในการแปลงทุนประกันลักษณะนี้

โฆษณาชุดใหม่ภายใต้แนวคิด “หยุดทุกเสียงลังเลในหัว”

การตลาด 360 องศา ตอกย้ำ “หยุดทุกเสียงลังเล”

เพื่อสื่อสารแนวคิดใหม่นี้ เมืองไทยประกันชีวิตใช้แคมเปญ “หยุดทุกเสียงลังเลในหัว” โดยมี ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นพรีเซ็นเตอร์หลักในการสื่อสาร โดยเจาะตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีความลังเลอย่างชัดเจน

  • สื่อออนไลน์และ OOH ครอบคลุมตั้งแต่ MRT, YouTube, Facebook, TikTok ไปจนถึง Hyper Realistic ad
  • Influencer สายการเงิน ใช้ผู้มีอิทธิพลด้านการเงินและการลงทุน เพื่ออธิบายความคุ้มค่าในเชิงการวางแผนการเงิน
  • Influencer สายไลฟ์สไตล์/ออฟฟิศ ใช้กลุ่ม Community ที่เข้าถึงคนวัยทำงานโดยตรง เพื่อสะท้อนอินไซต์ของคนทำงาน

เมืองไทยประกันชีวิต ได้พัฒนา “Muangthai Flexi Protection” เพื่อปรับการรับรู้เรื่องประกันชีวิต จากเดิมที่เน้น “ความคุ้มครอง” ไปสู่ “ความยืดหยุ่น” ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในขณะที่ผู้ซื้อยังมีชีวิตอยู่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนที่ยังลังเลและมองว่าประกันชีวิตแบบเดิมยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง

หมายเหตุ

*บริษัทจะเริ่มจ่ายผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลให้ผู้เอาประกันภัยตั้งแต่วันครบรอบปีกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุ 65 ปี และชำระเบี้ยประกันภัยครบถ้วนแล้ว โดยจะจ่ายไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

  • เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
  • เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด

คำเตือน ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา