เศรษฐกิจชะลอตัว คนตกงานเพิ่ม Tellscore บอก คนไทยหันมาเป็นครีเอเตอร์เต็มเวลา เพราะอยากอยู่รอด

ปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทหลายแห่งลดการจ้างงาน และคนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มมองหาอาชีพใหม่ที่พอจะอยู่รอดได้ หนึ่งในนั้นคือการเป็น ‘ครีเอเตอร์’

อาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ จึงกลายเป็นทางออกของคนจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพราะตลาดนี้เข้าถึงง่าย ใช้ต้นทุนไม่สูง และเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม คนจำนวนไม่น้อยที่ก้าวเข้ามาในเส้นทางนี้ ไม่ได้หวังความโด่งดังหรือรายได้มหาศาล แต่อยากเพียง ‘อยู่ให้รอด’ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

‘สุวิตา จรัญวงศ์’ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore บอกว่า ปีนี้จำนวนคนที่หันมาเป็นครีเอเตอร์เต็มเวลา (Full-Time Creator) มีมากขึ้นกว่าปีก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นข่าวดีเสมอไป เพราะเศรษฐกิจไม่ดี คนตกงานเยอะ จึงหันมาเป็นครีเอเตอร์

Tellscore สังเกตเห็นเทรนด์ชัดเจนว่า จำนวนครีเอเตอร์หน้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้าง หรือรายได้ลดลง หลายคนเริ่มมองอาชีพนี้เป็นทางรอดระยะยาวมากกว่ารายได้เสริม เพราะมันคือช่องทางที่ยังมีรายได้ แม้ต้องแข่งขันสูงก็ตาม

‘สุวิตา’ เล่าว่า สนามแข่งขันของคอนเทนต์ทุกวันนี้ใหญ่ขึ้น และเข้มข้นกว่าเดิม จากตลาดในประเทศ สู่สนาม cross-border ที่คอนเทนต์ไทยสามารถส่งออกไปทั่วโลกได้ แต่ในทางกลับกัน คนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ก็เริ่ม ‘บ่น’ หรือ ‘หลุดจากระบบ’ ตามธรรมชาติของการแข่งขัน

คนที่อยู่รอดในยุคนี้ไม่ใช่คนที่มีผู้ติดตามมากที่สุด แต่คือคนที่สร้าง ‘ความเชื่อใจ’ ได้จริง เพราะต่อให้ตอนนี้เริ่มมีอินฟลูเอนเซอร์ AI ซึ่งเก่งเรื่องความเร็ว และมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่เครื่องจักรไม่มีคือ ‘ความเป็นมนุษย์ ’ 

“ครีเอเตอร์ยุคใหม่ต้องใช้ความเป็นมนุษย์ในการสร้างคอมมูนิตี้ สื่อสารด้วยความเข้าใจ และรักษาความจริงใจในคอนเทนต์ เพราะในยุคที่ใครๆ ก็สามารถสร้างภาพ เสียง หรือวิดีโอปลอมได้ ความเชื่อใจจะกลายเป็น ‘ทุนทางสังคม’ ที่มีค่ามากที่สุด”

สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore

ตลาดครีเอเตอร์ยังโตต่อเนื่อง

ข้อมูลสถิติ Influencer Economy Worldwide จาก Statista ระบุว่า มูลค่าตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี โดยในปี 2567 อยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (777,431 ล้านบาท) และในปี 2568 คาดว่าจะพุ่งแตะ 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.05 ล้านล้านบาท)

โดยเทรนด์สำคัญในปีนี้ เพื่อรับมือกับ AI ‘สุวิตา’ มองว่า คือแนวคิด ‘Branding via Creators’ ที่ไม่ใช่แค่การสร้างความแตกต่าง แต่ต้องบอกเล่าอย่างมีความเป็นมนุษย์ ว่าแบรนด์นำเสนออะไร สร้างคุณค่าแบบใดให้ผู้บริโภค และร่วมมือกับครีเอเตอร์ที่สะท้อนคุณค่านั้นได้จริง

กลยุทธ์นี้ต้องผสมเข้ากับ O2O Marketing (Online-to-Offline) ผ่านกิจกรรมจริง เช่น อีเวนต์ เวิร์กชอป หรือคอนเสิร์ต เพื่อทำให้แบรนด์ดิ้งแข็งแรงและเชื่อมโยงกับผู้ติดตามได้ลึกกว่าเดิม

สำหรับภาพรวมแพลตฟอร์มออนไลน์ปีนี้ ‘TikTok’ ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ขณะที่ ‘YouTube’ พลิกเกมด้วยการผลักดันวิดีโอรูปแบบยาว และจับมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อรุกตลาดการขายผ่านโซเชียลมีเดีย

ส่วน ‘Instagram’ ยังคงเหมาะกับคอนเทนต์แนวสร้างเทรนด์ โดยเฉพาะคอนเทนต์แบบสตอรี ที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมได้สูง ขณะที่ ‘Lemon8’ และ ‘Xiaohongshu’ กำลังเป็นดาวรุ่งในหมู่ Gen Z และตลาดอาเซียน โดยเฉพาะครีเอเตอร์ที่สื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษและจีน

AI มาแน่ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ คืออยู่ร่วมกัน

สำหรับประเด็น AI สุวิตามองว่าทางรอดคือการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอวตาร AI ของตัวอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อทำคอนเทนต์สั้นๆ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือใช้ AI เป็นแรงเสริมในการสร้างแบรนด์

แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใส ระบุชัดเจนว่าเป็นคอนเทนต์จาก AI เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคสับสน ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณค่า และความน่าเชื่อถือในสายตาแบรนด์และผู้ติดตาม

‘สุวิตา’ เชื่อว่าตลาดนี้ยังโตแน่นอน แม้เศรษฐกิจโลกจะผันผวน แต่การเติบโตจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ครีเอเตอร์และแบรนด์ต้องปรับตัวอย่างยิ่งยวด ต้องมองทั้งระดับโลก และโอกาสในภูมิภาค

โดยเฉพาะอาเซียน และควรเริ่มสร้างคอนเทนต์ภาษาอังกฤษหรือจีน เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ เพราะความต้องการเปลี่ยนเร็วมาก จาก Awareness ไป Conversion และ KPI ที่ซับซ้อนหลากหลายขึ้น ใครปรับตัวได้คือผู้ที่จะอยู่รอด

ครีเอเตอร์ได้รับผลกระทบทั่วโลก

ในต่างประเทศ ภาพสะท้อนก็ไม่ต่างจากไทยมากนัก ‘คนตกงาน’ และ ‘AI’ กลายเป็นสองแรงเหวี่ยงสำคัญที่กำลังเขย่าวงการครีเอเตอร์ไปพร้อมกัน

TechCrunch รายงานว่า หลัง OpenAI เปิดตัวแอป ‘Sora 2’ ที่ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI ของตัวเองได้ง่ายเหมือนเล่น TikTok ความนิยมในคอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ตามมาด้วยความกังวลจากฝั่งครีเอเตอร์จำนวนมาก

โดยเฉพาะ ‘MrBeast’ ยูทูบเบอร์อันดับหนึ่งของโลก ที่ออกมาโพสต์เตือนว่า “นี่คือช่วงเวลาที่น่ากลัวสำหรับวงการ” เพราะ AI อาจกลืนอาชีพของครีเอเตอร์จริงๆ ได้ในไม่ช้า

เขาชี้ว่า เมื่อใครก็สร้างวิดีโอได้ภายในไม่กี่วินาที ค่าของ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ อาจถูกลดทอนจนแทบไม่มีราคาเหลืออยู่

ขณะที่ Business Insider รายงานว่า แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรปเริ่ม ‘ถอยห่าง’ จากการใช้อินฟลูเอนเซอร์ AI หลังพบว่า ผลงานไม่เข้าถึงผู้บริโภคเท่าที่คาด และมักถูกโจมตีว่า ‘ไร้ความจริงใจ’ 

สถิติจากแพลตฟอร์ม Collabstr ระบุว่า จำนวนแคมเปญที่ร่วมงานกับครีเอเตอร์ AI ลดลงกว่า 30% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 เพราะผู้บริโภคจำนวนมากไม่เชื่อมโยงกับ ‘คนที่ไม่มีตัวตน’

แบรนด์แฟชั่นอย่าง ‘Guess’ และแบรนด์ความงามอย่าง ‘Dove’ ก็ออกมาประกาศชัดว่าจะไม่ใช้โมเดล AI ในโฆษณาอีก หลังถูกวิจารณ์หนักเรื่องจริยธรรม และความไม่สมจริง

แต่ในอีกมุมหนึ่ง แบรนด์จำนวนมากยังคงใช้ AI เพื่อช่วยงานของครีเอเตอร์ เช่น การตัดต่อวิดีโอ การปรับแก้คอนเทนต์หลังถ่ายทำ หรือการจำลองเสียงและภาพให้พูดได้หลายภาษา ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนโดยไม่ทำลายความเป็นมนุษย์ของผู้สร้าง

เช่นเดียวกับสิ่งที่ ‘สุวิตา’ ย้ำไว้ในฝั่งไทยว่า AI ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คู่แข่ง

ความจริงใจ สำคัญสุด

เทรนด์ครีเอเตอร์ปี 2025 จึงสะท้อนภาพเดียวกันทั่วโลก ผู้คนจำนวนมากเข้ามาเพราะแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่จะอยู่รอดได้ด้วย ‘ความจริงใจ’ และ ‘ความเข้าใจเทคโนโลยี’ 

เพราะในยุคที่ใครก็สร้างคอนเทนต์ได้ สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การมีผู้ติดตามมากที่สุด แต่คือการรักษา ‘ความเชื่อใจ’ เอาไว้ให้ได้

ที่มา: Tellscore, TechCrunch, Business Insider

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา