Snapchat คว้าอันดับ 1 บริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

Fast Company เปิดเผยการจัดอันดับบริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก 50 อันดับแรก (The World’s 50 Most Innovative Company)

บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับ ไม่ได้มีเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกถึงขนาดที่จะทำให้รถยนต์บินได้ แต่เป็นนวัตกรรมที่อยู่ในชีวิตประจำวันมากกว่า ทั้งการใช้โดรนบินเพื่อขนส่งยารักษาโรค การคิดวิธีที่จะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือแม้แต่เว็บไซต์ที่สร้างรายได้ให้กับนักแต่งนิยายออนไลน์

5 บริษัทสร้างนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

ในปี 2020 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีนวัตกรรมมากที่สุดในโลกอันดับ 1 คือ Snap บริษัทแม่ของแอปพลิเคชันชื่อดังอย่าง Snapchat ซึ่ง Fast Company ได้ให้เหตุผลที่ Snap ได้อันดับ 1 ไปครองเพราะ Snap สร้างมาตรฐานให้กับแอปพลิเคชันสังคมออนไลน์มากมาย

ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทั้งการในสนทนาแบบตัวต่อตัว และการสนทนาแบบที่ข้อความจะหายไปเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง รวมถึงมีการควบคุมเนื้อหาที่จะปรากฎอยู่บนแอปพลิเคชัน มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบว่าเนื้อหานั้นเป็นความจริง

อันดับ 2 Microsoft ในปีที่ผ่านมา Microsoft ประสบความสำเร็จในการทำแอปพลิเคชันสำหรับการทำงานโดยเฉพาะ นั่นคือ Microsoft Teams เอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง Slack ไปได้ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 20 ล้านคน ซึ่งบริษัทใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา เลือกใช้ Microsoft Teams ไปแล้วกว่า 91 บริษัท

เพราะแอปพลิเคชันเดียวสามารถทำได้ทั้ง การส่งข้อความ การโทร ส่งไฟล์ การประชุมผ่านระบบ VDO Call ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น

Tesla model 3 รถยนต์ไฟฟ้าจาก Tesla ภาพจาก Tesla

อันดับ 3 Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก ปีที่แล้ว Tesla ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปได้กว่า 367,500 คัน มากที่สุดเท่าที่บริษัทเคยทำได้ ในปีที่แล้ว Tesla ยังได้ขยายโรงงานไปยังประเทศจีนเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ตลาดที่มีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก รวมถึงยังมีการเปิดตัว Cybertruck รถยนต์กระบะรูปทรงแปลกตา สร้างสีสันให้กับวงการรถยนต์

แอปพลิเคชัน Weverse Shop ที่ทำให้ Big Hit Entertainment เป็นหนึ่งในบริษัทที่สร้างนวัตกรรม ภาพจาก weverseshop.io

อันดับ 4 Big Hit Entertainment ค่ายเพลงสัญชาติเกาหลีใต้ ต้นสังกัดของศิลปินบอยแบนชื่อดังอย่าง BTS ที่สร้างปรากฎการณ์ จัดคอนเสิร์ตที่มีผู้เข้าชมเต็มสนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงโซล ไม่ใช่แค่การจัดคอนเสิร์ตเท่านั้นแต่ Big Hit Entertainment ยังทำแอปพลิเคชัน Weverse Shop ที่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับแฟนคลับ ด้วยการส่งข้อความหาศิลปินได้ ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 1.8 ล้านคนจาก 200 ประเทศทั่วโลก

ภาพจาก hackerone.com

อันดับ 5 HackerOne เพราะ Hacker ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ร้ายเสมอไป เพราะ Hacker One เป็นบริษัทที่รวบรวม Hacker กว่า 600,000 คน ให้บริการบริษัท และองค์กรที่ต้องการทดสอบความปลอดภัยของตนเอง ซึ่งบริษัทที่เป็นลูกค้าของ HackerOne มีทั้ง Alibaba, AT&T, เครือโรงแรม Hyatt และ Priceline

ส่วนบริษัทอื่นๆ ในลำดับที่ 6-20 มีดังนี้

  • White Claw ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมผสมแอลกอฮอล์ที่เป็นมิตรกับทุกเพศ
  • Shopify Platform e-commerce ที่ช่วยให้การขายของออนไลน์เป็นเรื่องง่ายตั้งแต่การทำเว็บไซต์ ไปจนถึงระบบจ่ายเงิน
  • Canva เว็บไซต์ออกแบบกราฟฟิก และพรีเซนเทชั่นแบบง่ายๆ ด้วย Template ที่มีไว้ให้เลือกใช้
  • Roblox Platform เล่นเกมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
  • Zipline บริษัทที่เชียวชาญด้านการขนส่งทางโดรน โดยเฉพาะการขนส่งยาในพื้นที่ห่างไกล

 

  • KaiOS Technology ผู้พัฒนาระบบปฎิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือราคาถูก มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านรายทั่วโลก
  • Beyond Meat เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช มีจุดกระจายสินค้ากว่า 77,000 จุด ใน 65 ประเทศทั่วโลก
  • Bravado บริษัทลูกของ Universal Music Group เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าของศิลปินชื่อดังทั่วโลก ทั้ง Justin Bieber และ Blackpink
  • Meesho เว็บไซต์ e-commerce จากประเทศอินเดีย ที่ช่วยให้ผู้คนในพื้นที่ห่างไกล มีการคมนาคมไม่สะดวก เข้าถึงระบบการซื้อของออนไลน์ได้
  • Spotify บริการสตรีมมิงฟังเพลงออนไลน์ชื่อดัง ช่วยให้ศิลปินเข้าถึงแฟนคลับจำนวนมาก

 

  • Hello Sunshine บริษัทผลิตสื่อสัญชาติอเมริกัน
  • Luckin Coffee เครือร้านกาแฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน นำหน้าร้านกาแฟดังอย่าง Starbuck
  • Merck บริษัทผู้ผลิตวัคซีนรักษาไวรัสอีโบลา ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้มากถึง 88%
  • Whoop ผู้ผลิตสายรัดข้อมืออัจฉริยะ ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ และการนอนหลับของผู้สวมใส่ได้
  • Sweetgreen ร้านขายสลัดจานด่วน มีจำนวนสาขากว่า 1,000 แห่ง ใน 9 เมือง โดยใช้ระยะเวลาเพียง 18 เดือนเท่านั้น

สำหรับการจัดอันดับฉบับเต็มสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่มา – fastcompany

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา