ยิ่งตลาดหุ้นผันผวนมากเท่าไหร่ นักลงทุนยิ่งสนใจในงานศิลปะมากเท่านั้น

ในช่วงที่ผ่านมานั้นตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกเกิดความผันผวนสูง ทำให้เกิดคำถามว่าถ้าหากตลาดหุ้นเกิดพังขึ้นมา ตลาดของงานศิลปะจะพังไปด้วยหรือไม่

ภาพจาก Shutterstock

หลังจากวิกฤตการเงินเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา ซึ่งครบรอบ 10 ปีในปีนี้ สถาบันการเงินต่างๆ ได้ล่มสลายไปมากมาย แต่การประมูลงานศิลปะในกรุงนิวยอร์กนั้นราคากลับไม่ได้ตกลงไปด้วยซ้ำ โดยมีมูลค่าการซื้อขายในงานศิลปะสูงถึง 1,560 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำสถิตใหม่ด้วยซ้ำ

อะไรเป็นแรงจูงใจกัน?

Asher Edelman นักสะสมงานศิลปะ และรวมไปถึงซื้อขายงานศิลปะด้วย เขาได้กล่าวว่าช่วงปี 2008 นั้นเริ่มมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนในงานศิลปะ เพราะมองว่างานศิลปะเป็นเหมือน Safe Heaven ของนักลงทุน ซึ่งทำให้งานประมูลศิลปะในช่วงปี 2008 กลับได้รับความนิยม ทั้งๆ ที่ตลาดหุ้นนั้นตกหนัก มูลค่าของการประมูลนั้นสูงมาก

ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีนักลงทุนสนใจในงานศิลปะ และเริ่มเก็บสะสมมากขึ้น และล่าสุดมีงานศิลปะไม่ว่าจะเป็นภาพวาดของปิกัสโซ่ โมเนต์ หรือแม้แต่เครื่องถ้วยสมัยนโปเลียนของ David Rockefeller ซึ่งมากกว่า 1,500 ชิ้น กำลังจะออกสู่ตลาดประมูลภายในเดือนหน้า ยิ่งสร้างความคึกคักให้กับนักลงทุนอย่างมาก โดยคาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

เปรียบได้ดั่งทองคำ

Christophe Van de Weghe นักประมูลงานศิลปะ และรวมถึงสะสมด้วย เขามองว่างานศิลปะก็เหมือนทองคำในโลกการลงทุน ถ้าหากตลาดหุ้นยิ่งผันผวนสูงมากเท่าไหร่ งานศิลปะยิ่งขายดีมากเท่านั้น เพราะเขามองว่านี่คือสมบัติแบบ “จริงๆ”

แต่โลกของนักสะสมศิลปะก็ต้องมีการขายทำกำไรบ้าง โดยยิ่งนักสะสมที่สะสมงานดีๆ ก็จะขายออกแล้วถือเงินสด แล้วรอช่วงงานประมูลงานศิลปะ ซึ่งเป็นเวลา “ซื้อของ” ของเหล่านักสะสม

Van de Weghe ยังได้เสริมว่า คนที่ชอบซื้องานศิลปะช่วงตลาดผันผวนมากกว่าใครเพื่อนคือคนที่ทำงานใน Hedge Fund ทั้งหลาย โดยพวกเขาเหล่านี้มองว่านำงานศิลปะไปขายต่อช่วงตลาดผันผวนหนักยิ่งได้กำไรมาก ช่วงตลาดหุ้นตกหนักๆ ในสองสามเดือนที่ผ่านมา งานศิลปะขายได้ดีมาก

งานศิลปะของ Claude Monet : Water Lilies, c. 1915, Neue Pinakothek, Munich (ภาพจาก Wikipedia)

แต่ก็ใช่ว่าจะดีสำหรับระยะสั้น

Asher Edelman ยังได้ออกมาเตือนเหล่านักสะสมงานศิลปะหน้าใหม่ๆ ว่าใช่ว่าสะสมงานศิลปะแล้วจะทำให้รวยขึ้น โดยเขากล่าวว่างานศิลปะที่ซื้อขายในปี 2008 สมมติว่างานศิลปะมีมูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตอนขายจริงๆ อาจเหลือแค่ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ

แล้วเขายังได้เสริมถึงเรื่องของสภาพคล่องของตลาดงานศิลปะถ้าหากตลาดหุ้นเกิดร่วงขึ้นมาจริงๆ เพราะว่าถ้าหากจะขายเอาเงินมาใช้จริงๆ อาจต้องมีการเปิดประมูล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะโดนกดราคาลงมา ซึ่งไม่ใช่อยากจะขายก็ขายได้เลย

Marc Payot ได้แนะนำว่าถ้าหากจะหางานศิลปะดีๆ อาจต้องหาตอนตลาดหุ้นตกหนักๆ เพราะจะได้งานดีๆ โดยเฉพาะช่วงปี 2008-2009 คนแห่ขายงานศิลปะทิ้งเยอะมากๆ และเขายังได้กล่าวเสริมว่างานศิลปะเหมาะกับการซื้อเก็บยาวๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ Marc Payot มั่นใจเป็นอย่างมากคือตลาดงานศิลปะจะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นแน่นอน

แล้วที่ไทยหล่ะ

งานสะสมศิลปะของไทยอาจจำกัดในวงแคบๆ แต่เราจะเห็นได้ว่ารูปภาพงานศิลปะของตำนานหลายๆ ท่านอย่างเช่น ถวัลย์ ดัชนี ฯลฯ นั้นมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งงานบางงานเป็นงานหายากและสวยงามมาก

หรือไม่เว้นแม้แต่ตลาดพระเครื่องของบ้านเราที่ไม่ว่าตลาดหุ้นจะตกหรือไม่ตก ราคาพระเครื่องของไทย ยกตัวอย่างเช่นพระสมเด็จ ราคาทุกวันนี้อาจเกิน 20 ล้านบาทไปแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งตลาดงานศิลปะหรือแม้แต่พระเครื่องของไทยเองก็ไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นผันผวนเท่าไหร่

ที่มาBloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Content Writer ที่สนใจในเรื่องของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม TMT (Technology, Media, Telecom) การควบรวมกิจการ (M&A) นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยทางธุรกิจที่น่าสนใจ