พาณิชย์เผยหากปรับขึ้นค่าไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด เสี่ยงเพิ่มเงินเฟ้อและต้นทุนธุรกิจ

หลังจาก กกพ.ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย. 2567 ขึ้นเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาเบื้องต้น หลายฝ่ายต่างกังวลจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจในวงกว้าง ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตามองว่ารัฐบาลจะเดินหน้าปัญหานี้อย่างไร 

ล่าสุดวันนี้ พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปและต้นทุนในระบบเศรษฐกิจพบว่า หากมี

การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย (เท่ากันทั้งครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม) จากระดับปัจจุบันซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้นราว 17.29%) จะส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ทั้งอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ต้นทุนผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดอยู่แล้ว เนื่องจากค่ากระแสไฟฟ้าเป็นปัจจัยการผลิตต้นน้ำที่สำคัญ 

ทั้งนี้ หากมีการปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าจะส่งผ่านผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆทั้งกลางน้ำและปลายน้ำ ผ่านการส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมได้เป็นวงกว้าง 

ในมิติของต้นทุน ไฟฟ้าเป็นต้นทุนของภาคการผลิตและบริการทั้งในระดับต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยมีสัดส่วน 2.51% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด (ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต, Input-Output Table) โดยสาขาการผลิตที่มีการใช้ไฟฟ้าเป็นต้นทุนสูง ได้แก่ 

  • การผลิตน้ำแข็ง (29.88% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • โรงแรมและที่พักอื่น (17.12% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • สถานที่เก็บสินค้าและการเก็บสินค้า (16.90% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • การประปา (14.30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • การผลิตซีเมนต์ (12.13% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • การปั่นด้าย การหีบฝ้าย และเส้นใยประดิษฐ์ (12.11% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 

ขณะที่ในมิติของสินค้าที่ครัวเรือนบริโภคนั้น ค่ากระแสไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง 3.90% ของค่าใช้จ่ายครัวเรือน  

ดังนั้น การปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าทั้งระบบ (ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคครัวเรือน) 17.29% ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งต้นทุนการผลิตและการบริโภคของครัวเรือนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยภาคการผลิตและบริการจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.65%  และภาคครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 0.66% ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมทันที 0.66% และมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.62% หากมีการส่งผ่านต้นทุนการผลิตและบริการไปยังสินค้าขั้นสุดท้ายในระยะต่อไป โดย 5 สินค้าและบริการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ประกอบด้วย 

1) น้ำแข็ง
2) ค่าห้องพักโรงแรม
3) น้ำประปา
4) เสื้อผ้า
5) ผ้าอ้อมเด็ก 

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทำให้ค่าเช่าบ้านและอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะราคาอาหารสำเร็จรูปเป็นผลจากค่าเช่าพื้นที่หรือค่าเช่าตลาดที่เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังและติดตามภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างสูงจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหรือบริการที่มีการแข่งขันสูง มีสภาพคล่องต่ำ การเติบโตทางรายได้ และผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงมีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นจำนวนมากในอุตสาหกรรมดังกล่าว 

โดยจากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์กลุ่มที่มีอัตราส่วนสภาพคล่องต่ำกว่า 1 และวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมที่ยังคงติดลบ (หรือขาดทุน) ในปี 2565 เช่น 

1) โรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -12.6% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อย (Micro SME) เป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนนิติบุคคลทั้งหมด
2) เกสต์เฮ้าส์ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -7.4% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยสูงถึง 80%
3) การผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -3.5% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยคิดเป็นสัดส่วน 12.2%
4) การทอผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -2.1% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยอยู่ที่ 47.5%
5) การผลิตจักรยาน มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -1.1% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยอยู่ที่ 31.5% 

ดังนั้นการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้า ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น

“การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในอัตราที่ก้าวกระโดด และใช้อัตราค่าไฟดังกล่าวต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การทยอยปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างเหมาะสม และรัฐบาลมีมาตรการลดค่าครองชีพอื่นๆ จะช่วยลดภาระของประชาชน ขณะที่ ควรหลีกเลี่ยงการปรับค่าไฟฟ้าสำหรับภาคธุรกิจในช่วงที่ต้นทุนอื่น ๆ กำลังทยอยปรับเพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น” พูนพงษ์ กล่าว

ที่มา สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา