ถ้าคุณเรียนจบมัธยมจากเตรียมอุดม รับทุนคิง แล้วไปจบเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาแสตนฟอร์ด ทำงานบริษัทคอนซัลท์ท็อปโลก และบริษัท FMCG ระดับโกลบอล คุณจะลาออกจากงาน มาขายครีมกันแดดในตลาดนัดออฟฟิศไหม?
คนอื่นคิดยังไงเรื่องนี้ไม่รู้ แต่ ‘หนุย-วริษฐา สืบพันธ์วงษ์’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Mizumi ทำ และทำมันได้ดีด้วย เพราะเธอทำให้กันแดดที่ยังไม่มีที่วางขายในวันนั้นขายได้มากถึง 4 ล้านหลอด รวมถึงสร้างให้บริษัทให้เติบโต จนวันนี้มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านแล้วด้วย
เรื่องราวของเธอและธุรกิจเป็นยังไง Brand Inside คุยกับ CEO ของ Mizumi มาแล้วในงาน The Entrepreneur Forum 2025 และพร้อมแล้วจะเล่าให้คุณฟัง
ลาออกจากงาน เพราะชอบลงมือทำ
เส้นทางของ ‘หนุย-วริษฐา สืบพันธ์วงษ์’ ก็คงไม่แตกต่างจากพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ถ้าไม่ใช่ เพราะเธอดันเป็นคนชอบลงมือทำ
หนุย เรียนจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่รวบรวมเหล่าหัวกะทิทั่วประเทศไทยมาไว้รวมกัน ก่อนเธอจะรับ ‘ทุนคิง’ (หรือทุนเล่าเรียนหลวงที่มีการแข่งขันสูงและแต่ละปีมอบให้กับเด็กเพียง 9 คนเท่านั้น) บินข้ามฟ้าไปเรียนถึงสแตนฟอร์ด
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาครีทางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา อันเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของโลกแล้ว เธอก็เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในบริษัทคอนซัลท์ระดับโลก แต่ติดตรงที่งานคอนซัลท์นั้นเน้นคิดเป็นหลัก แต่ไม่เน้นลงมือทำแบบที่เธอชอบ
หนุยจึงมองหาเส้นทางใหม่ ขยับไปทำงานด้าน FMCG ในบริษัทระดับโกลบอลแทน แต่เพราะเป็นแบรนด์ระดับโกลบอล แน่นอนว่าย่อมมีกรอบและขอบเขตมากมาย หลังเก็บประสบการณ์ทำงานครบ 2 ปี หนุยจึงตัดสินใจว่า เอาล่ะ หรือฉันจะไม่เหมาะกับการทำงานในบริษัท และได้เวลาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแล้ว นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของ Mizumi
เพื่อน 4 คนจับมือกัน ขายครีมกันแดดในตลาดนัด
พอคิดว่าจะมาทำแบรนด์เป็นของตัวเอง หนุยเลือก ‘สกินแคร์’ สินค้าที่ตัวเองคุ้นเคยและชื่นชอบ ส่วนสินค้าตัวแรกของแบรนด์ หนุยเลือกเริ่มต้นที่ ‘ครีมกันแดด’ ก่อน
สาเหตุเพราะในยุคนั้นหรือราวๆ 10 ปีก่อน หนุยเห็นว่า ในประเทศไทยมีคนทำกันแดดแบบฟิสิคัลน้อยมาก (กันแดดแบบฟิสิคัล หรือ Physical Sunscreen คือครีมกันแดดที่สารกันแดดจะทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนรังสี UV ออกไปจากผิว)
โดยในหมู่แบรนด์จำนวนน้อยนิดที่ทำกันแดดแบบฟิสิคัล ก็ไม่ค่อยได้บอกเล่ากับผู้บริโภคเท่าไรว่า กันแดดแบบฟิสิคัลดีและแตกต่างจากกันแดดแบบเคมิคัลอย่างไร เหมาะสมกับคนแพ้ง่าย-ผิวบอบบางมากกว่ากันแค่ไหน รวมถึงเวลานั้นกันแดดกลุ่มฟิสิคัลส่วนใหญ่ ยังมักมีปัญหาขาววอก ทำให้หน้าลอย และสัมผัสเหนียวเหนอะหนะด้วย
หนุยและพาร์ทเนอร์อีก 3 คน จึงปักเลือก ‘กันแดดแบบฟิสิคัล’ เป็นสินค้าตัวแรกของแบรนด์ พร้อมๆ กับมองหาหนทางที่จะปิดเพนพ้อยท์ของกันแดดแบบฟิสิคัลให้ได้ด้วย
หนุยใช้เวลาราว 1-2 ปี พัฒนาสูตรครีมกันแดดแบบฟิสิคัลร่วมกับอาจารย์และโรงงานในญี่ปุ่น ก่อนผลลัพธ์จะออกมาเป็นที่พอใจ ก่อกำเนิดเป็น ‘กันแดดหลอดฟ้า’ อันโด่งดังของ Mizumi
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถึงเพียงนั้น เพราะยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่มากและหลากหลายเท่านี้ แบรนด์ใหม่เล็กๆ จะเข้าสู่ตลาดได้ จำเป็นจะต้องลงไปหาลูกค้าและแนะนำสินค้าด้วยตัวเอง
หนุยและพาร์ทเนอร์จึงจับมือกันพากันแดดหลอดฟ้าของ Mizumi ไปขายในตลาดนัด ทั้งตลาดนัดออฟฟิศและตลาดนัดในห้างสรรพสินค้า เพื่อแนะนำให้ลูกค้ารู้จัก
ผู้ก่อตั้ง 4 คนของ Mizumi ทำงานอย่างหนัก จนสุดท้ายสามารถส่งกันแดดหลอดฟ้าเข้าไปติดตลาดได้สำเร็จ
คอนเซปต์ไม่เหมือนใคร ทะลุ 100 ล้านด้วยสินค้าแค่ 3 ตัวเท่านั้น
พอถามถึงปัจจัยที่ทำให้กันแดดหลอดฟ้าเข้าไปครองใจลูกค้าได้ หนุย คิดว่า เพราะคอนเซปต์ของกันแดดหลอดฟ้าไม่ค่อยเหมือนใครในวันนั้น มีเนื้อเบาสบายเหมาะสำหรับคนแพ้ง่าย ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นสิว ผิวพัง จะใช้กันแดดไหน ลูกค้าจะนึกถึง Mizumi รวมถึงยังมีราคาสามารถเข้าถึงได้ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อซ้ำอีกได้ไม่ยาก
จุดบูมจุดแรกของ Mizumi คือวันที่เข้าไปขายในวัตสันเป็นครั้งแรก เพราะได้รับโอกาสให้กระจายสินค้าถึงลูกค้าหลายร้อยสาขา
“จุดที่เรารู้สึกว่าเรารอดแน่ๆ คือ ตอนที่เราค้นพบว่ามีคนรักแบรนด์ของเรามากๆ เลย เราไม่มีพนักงานขาย แต่สินค้าของเราสามารถขายตัวเองได้ ไม่ต้องมีคนเชียร์ แปลว่าคนน่าจะชอบสินค้าของเราจริงๆ”
ครบรอบ 3 ปีของการเปิดตัว Mizumi ถึงทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท
ณ วันที่มีรายได้ 100 ล้านนั้น Mizumi มีสินค้าอยู่แค่ 3 ตัว คือ กันแดดหลอดฟ้าทาหน้า กัดแดดหลอดส้มทาตัว และคลีนซิ่งวอเตอร์ หลังจากวันนั้น Mizumi ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และบูมมากอีก 2 ครั้งในช่วงเข้าวางขายใน 7-Eleven และหลังโควิดที่ช่องทางออนไลน์แทบจะกลายเป็นกระแสหลัก
จากวันแรกจนถึงวันนี้ Mizumi ขายกันแดดหลอดฟ้าไปแล้วกว่า 4 ล้านหลอด สร้างนิวไฮต่อเนื่องทุกปี เป็นสินค้าอันดับ 1 ของแบรนด์มาโดยตลอด
ทำงานมา 10 ปี ทำรายได้ทะลุ 2 พันล้าน
ปี 2567 ที่ผ่านมา Mizumi มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านบาทแล้ว โดยเติบโตเท่าตัวจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ราว 1,000 ล้านบาท ทำให้ Mizumi สามารถขึ้นเป็น Top Local Skincare Brand ของประเทศไทยได้สำเร็จ
ย้อนดูรายได้ตลอด 10 ปีของ Mizumi หรือ บริษัท มิซึฮาดะ กรุ๊ป จำกัด
- ปี 2558 รายได้ 1.3 ล้าน กำไร 2 แสน
- ปี 2559 รายได้ 43 ล้าน กำไร 11 ล้าน
- ปี 2560 รายได้ 108 ล้าน กำไร 8.9 ล้าน
- ปี 2561 รายได้ 137 ล้าน กำไร 10 ล้าน
- ปี 2562 รายได้ 193 ล้าน กำไร 19 ล้าน
- ปี 2563 รายได้ 288 ล้าน กำไร 65 ล้าน
- ปี 2564 รายได้ 345 ล้าน กำไร 59 ล้าน
- ปี 2565 รายได้ 531 ล้าน กำไร 110 ล้าน
- ปี 2566 รายได้ 1,067 ล้าน กำไร 216 ล้าน
งบกำไร-ขาดทุนของบริษัทสะท้อนการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่แข็งแกร่งของ Mizumi ได้เป็นอย่างดี และจะเห็นว่าแนวโน้มของรายได้ในช่วงปีหลังๆ เป็นการเติบโตแบบเท่าตัวทั้งสิ้น
ตอนนี้ Mizumi มีสินค้ารวมกว่า 40 SKU ภายใต้ 3 แบรนด์หลักอย่าง Mimuzi, Bomi และ Gentle Color น้องใหม่ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2567 เข้ามาเติมเต็มพอร์ตของ Mizumi ในด้านเครื่องสำอางให้สมบูรณ์
‘หนุย’ เล่าสาเหตุที่เลือกแยกแบรนด์ออกมาว่าเป็นเพราะอยากไปให้สุดเรื่องสีสันและแฟชัน ไม่ติดภาพลักษณ์ที่เน้นความอ่อนโยนของ Mizumi ซึ่ง Gentle Colors ก็ได้รับการตอบรับดี ติดตลาดค่อนข้างไว แบรนด์จึงเร่งเติมพอร์ตให้เต็มที่ เปิดตัวมาแล้ว 4 คอลเลกชันใน 10 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับปี 2568 นี้ Mizumi มีแผนจะเปิดตัวสินค้าอีก 6-10 ตัว และหลังจากเข้าไปตีตลาดเวียดนามมาแล้ว ปีนี้ก็เตรียมจะไปเปิดตัวในอาเซียนเพิ่มอีก 1 ประเทศ
‘หนุย’ บอกว่า อยากให้ Mizumi สามารถเติบโตเป็น Regional Brand หรือแบรนด์ระดับภูมิภาคได้ เป็นความภูมิใจ เป็นซอฟต์เพาเวอร์ของคนไทย
“ตอนนี้เรามาไกลกว่าที่คิดเยอะมาก ตอนเริ่มทำเราไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ทำรายได้เป็นพันล้านไดั แต่พอทำได้ก็อยากทำดีต่อไป จึงอยากจะทำงานหนัก ไม่ให้ทุกคนผิดหวัง”
- ‘แบรนด์ไทย-ร้านไทย’ ขายดี โตพุ่ง 800% บน TikTok Shop ส่วนใหญ่มาจากครีเอเตอร์ไทยติดตะกร้ารีวิว
- เครื่องสำอางเกาหลีแผ่ว เพราะคนไทยหันใช้แบรนด์ไทย ร้านเครื่องสำอางต้องลดเกาหลี เพิ่มไทยแทน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา