ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว และการวางแผนควบคุมต้นทุน ทำให้ Mitsubishi เลิกพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์ในตลาดญี่ปุ่น โดยไปใช้ของ Nissan แทน พร้อมเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับตลาดอาเซียนโดยเฉพาะ
Mitsubishi เลิกพัฒนาแพลตฟอร์มในตลาดญี่ปุ่น
รายงานข่าวแจ้งว่า Mitsubishi Motors ต้องการลงทุนวิจัย และพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ ของรถยนต์มากขึ้น แต่ด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมามหาศาล ทำให้บริษัทต้องควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างหนัก และหยุดพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จำหน่ายในญี่ปุ่น โดยดูแลแค่การตกแต่งภายนอก-ภายใน และระบบต่าง ๆ
สำหรับต้นทุนในการพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์โดยเฉลี่ยจะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของค่าพัฒนารถยนต์ อาจตีมูลค่าเป็นหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะคือโครงสร้างสำหคัญในการรองรับเครื่องยนต์ และการตกแต่งภายใน-ภายนอก รวมถึงระบบต่าง ๆ ด้วย จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะเห็นรถยนต์หลายรุ่นใช้แพลตฟอร์มเดียวกันในการผลิต
นับตั้งแต่สิ้นเดือน มี.ค. 2021 Mitsubishi มี 8 แพลตฟอร์มรถยนต์ แต่บริษัทต้องการลดแพลตฟอร์มดังกล่าวลงเหลือ 4 ภายในเดือน มี.ค. 2026 แบ่งเป็น 2 แพลตฟอร์มที่ใช้ร่วมกับ Nissan และอีก 2 แพลตฟอร์มเป็นการพัฒนาเองเพื่อทำตลาดอาเซียนโดยเฉพาะ (อาเซียนคือตลาดสำคัญของ Mitsubishi ในเวลานี้)
เมื่อปี 2019 ทาง Mitsubishi เคยใช้งานแพลตฟอร์มร่วมกับ Nissan ถึง 40% แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi ยังแข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่แค่ Mitsubishi ที่ต้องลดแพลตฟอร์มที่มี เพราะมี Subaru ที่เลิกพัฒนา 2 แพลตฟอร์มไปเมื่อปี 2016 และค่ายรถยนต์อื่น ๆ เริ่มแบ่งปันแพลตฟอร์มกันมากขึ้น
Mitsubishi ประสบปัญหาขาดทุนในช่วง 2 ปีงบประมาณล่าสุด และต้องลดการทำตลาดรุ่นที่ไม่สร้างกำไร เช่น SUV ในตำนานรุ่น Pajero และรถเก๋งรุ่นอื่น ๆ นอกจากนี้ Mitsubishi ยังลดงบวิจัย และพัฒนาเหลือ 99,000 ล้านเยนในปีงบประมาณปัจจุบัน น้อยลง 30% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งปกติงบประมาณนี้จะอยู่ราว 1 แสนล้านเยน
สำหรับในประเทศไทย Mitsubishi ทำตลาดทั้งหมด 7 รุ่นย่อย แบ่งเป็น 4 แพลตฟอร์มคือ กลุ่ม B-Segment ในรุ่น Mirrage และ Attrage, Mini MPV ในรุ่น Xpander และ Xpander Cross, กระบะ และ PPV ในรุ่น Triton และ Pajero Sport สุดท้ายคือ Compact SUV รุ่น Outlander PHEV
สรุป
ไม่ใช่เรื่อง่ายที่ Mitsubishi จะกลับมาผงาดเหมือนในอดีต เพราะบริษัทปรับตัวไม่ทัน ดังนั้นการควบคุมต้นทุนต่าง ๆ เพื่อประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้จึงจำเป็น ซึ่งใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Nissan ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ และน่าจะช่วยให้ Mitsubishi จริงจังกับตลาดอาเซียนที่ตัวเองทำได้ดีได้มากขึ้น
อ้างอิง // Nikkei
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา