แม้จะเปิดตัวมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Mini Cooper SE ของ Mini ก็ยังไม่ชัดเจน จนล่าสุด Mini ก็เปิดราคาในสหรัฐอเมริกาแล้ว เริ่มต้น 30,750 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าคู่แข่ง ทั้งๆ ที่วิ่งได้สั้นกว่า
การทำตลาดที่หินแน่นอน
Mini เป็นแบรนด์รถยนต์ทางเลือกที่คนชื่นชอบมันจริงๆ ถึงจะซื้อ เพราะด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และการตั้งค่าต่างๆ ของรถยนต์ทำให้ขับขี่สนุก แตกต่างกับรถยนต์ค่ายอื่นในขนาดที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งตัว Mini Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกอย่างเป็นทางการของแบรนด์ก็ยังคงสิ่งเหล่านั้นไว้ได้
เพราะด้วยพละกำลัง 184 แรงม้า และแรงบิด 270 นิวตันเมตรตั้งแต่เหยียบคันเร่ง ทำให้เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม. รวมถึงการติดตั้งแบตเตอรี่รูปตัว T ทำให้พื้นที่เก็บของด้านหลังของ Mini Cooper SE กว้างขึ้น ต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นอื่นที่แบตเตอรี่จะกินพื้นที่ด้านหลัง
อย่างไรก็ตามการจะได้ Mini Cooper SE ต้องแลกมาด้วยการควักกระเป๋าจ่ายที่ 30,750 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.29 แสนบาท) แต่ราคานี้ยังไม่รวมภาษีในสหรัฐอีกกว่า 7,000 ดอลลาร์ (ราว 2.11 แสนบาท) ซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งคู่ ราคามันก็สูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบรนด์คู่แข่ง
ไม่ว่าจะเป็น Nissan Leaf, Hyundai Kona รวมถึง Volkswagen eGolf ที่สำคัญแบรนด์เหล่านี้ยังมีระยะทางในการขับขี่หลังชาร์จเต็มได้ไกลกว่า 185 กม. ที่ Mini Cooper SE ทำได้ ถึงมันจะแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ด้วยการทำให้มันขับขี่สนุกเหมือน Mini รุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในก็ตาม
สรุป
Mini ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นรถยนต์ที่คนที่ชอบจริงๆ ซื้อเพราะด้วยราคาที่ไม่ได้ถูก ทำให้ต้องตัดสินใจเล็กน้อย แต่ถ้าอยากขับขี่สนุกจริงๆ Mini ย่อมเป็นตัวเลือกที่ขาดไม่ได้ ส่วนประเทศไทย Mini Cooper SE จะเข้ามาทำตลาดหรือไม่ และราคาจะเป็นเท่าไร อันนี้ต้องรอทาง BMW เป็นผู้ตัดสิน
ที่สำคัญเมื่อ 10 ปีที่แล้ว Mini เคยเปิดตัว Mini E รถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ผลิตในจำนวนจำกัด และเน้นทำเพื่อทดลองมากกว่า แต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นนี้มีระยะทางวิ่งหลังชาร์จเต็ม 251 กม. มากกว่า Mini Cooper SE ที่เปิดตัวถัดมาอีก 10 ปีเสียอีก
อ้างอิง // Jalopnik
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา