การที่สำนักงานใหม่ของ MFEC รวมถึง Playtorium ตั้งอยู่บริเวณ 5 แยกลาดพร้าว ซึ่งใกล้กับปอดขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ คือสวนรถไฟ ทำให้พนักงานรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ เลือกใช้เวลาช่วงเย็นไปกับการเปลี่ยนชุด หยิบรองเท้าแล้วข้ามถนนไปวิ่งในช่วงเย็น
หรือบางรายก็เลือกที่จะมาออฟฟิศในช่วงเช้า ออกกำลังกาย เรียกความสดชื่น ก่อนเข้ามาทำงาน
“พอถึงเวลาช่วงเย็นๆ แล้วยังเห็นใครอยู่ในสำนักงานก็แทบจะไล่ให้ไปวิ่งทันที”
ประกอบกับทั้ง MFEC และ Playtorium จะเปิดโอกาสให้พนักงาน สามารถเลือกกะเข้างาน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ 8 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็นตามออฟฟิศไทม์ปกติ กับเลือกที่จะเข้าทำงานในช่วงบ่าย และเลิกงานในช่วงดึกแทน
“อยากทำงานช่วงไหนเลือกได้เอง ไม่ต้องเครียดรถติด และทำให้เลือกเวลาในการใช้ชีวิตได้”
2 เรื่องนี้อาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจในการเลือกเข้าทำงานในบริษัทใดสักแห่ง ที่เข้าใจชีวิต และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ พร้อมเปิดโอกาสให้ได้คิดและฝัน ในการเป็นเจ้าของบริษัทต่อไปในอนาคต
ปรับวัฒนธรรมรับยุคดิจิทัล
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใหม่กับวัฒนธรรมของการทำงานในยุคดิจิทัล กับบริษัทสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ แต่ทำไมในมุมของบริษัทไอทีที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผู้วางระบบ (System Integrator) ในไทยมานานถึง 20 ปี ถึงกล้าที่จะเปลี่ยน
ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC เล่าให้ฟังถึงแนวคิดในการเปลี่ยนว่า เมื่อได้ลองพูดคุยกับน้องๆ รุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงาน จะพบว่ามีแนวคิดในการทำงานที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ยึดติดกับวัฒนธรรมการทำงานในรูปแบบเดิม สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือพนักงานสามารถสร้างผลงานได้สูงขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น
“MFEC เป็นบริษัทที่เน้นการวางระบบไอทีให้แก่ลูกค้าเอกชน ทำให้มีการเข้าถึงลูกค้าที่หลากหลาย พนักงานที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนรุ่นใหม่ มีรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงศักยภาพในการทำงานของบุคลากรให้ดีที่สุด”
สิ่งที่ MFEC ทำ คือควักเงิน 20 ล้านบาท ในการย้ายสำนักงานมาตั้งที่ตึก SJ Infinite ที่ถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบของออฟฟิศสมัยใหม่ ที่ปัดแนวคิดในการนั่งทำงานบนโต๊ะประจำตัว
ปรับพื้นที่ให้เปิดโล่ง จัดวางโต๊ะยาวพร้อมระบบไฟให้พร้อม เพื่อให้พนักงานสามารถหิ้วโน้ตบุ๊กมาวางเพื่อทำงานได้ทันที
พร้อมกับจัดพื้นที่บางส่วนให้เป็นเหมือนการทำงานรูปแบบกลุ่มไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ 4 ตัวหันหน้าเข้าหากัน เพื่อให้พนักงานที่ร่วมกันทำโปรเจกต์สามารถทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นำเสนอไอเดียใหม่ๆ ได้ทันที เมื่อโปรเจกต์จบก็แยกย้ายกันไปรวมกลุ่มกับเพื่อนทำโปรเจกต์ใหม่
“ในการย้ายสำนักงาน สิ่งสำคัญที่ต้องคิดเลยคือการทิ้งวัฒนธรรมที่ไม่ดีไว้ที่เดิม และเริ่มในสิ่งใหม่ที่เข้ากับการทำงานในยุคดิจิทัล ซึ่งหลังจากนี้พนักงานในเครือ MFEC ก็จะทยอยย้ายมาที่ตึกใหม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้นในตึกนี้”
จาก SI สู่การเป็น Corporate Venture Capital
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ MFEC ต่อธุรกิจในอนาคต เพราะด้วยแนวคิดใหม่ของบริษัท ที่ต้องการปรับตัวจากการเป็นผู้วางระบบไอที เป็นนักลงทุนในรูปแบบของ Corporate Venture Capital (CVC) ผลักดันพนักงานสู่เจ้าของกิจการ
Playtorium จึงเกิดขึ้นมาในลักษณะของการเป็น CVC ที่ MFEC ลงทุนให้พนักงานแยกออกมาตั้งบริษัทด้วยเงินลงทุน 70% ของทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท พร้อมกับเปิดรับไอเดียใหม่ๆจากพนักงาน ที่จะช่วยให้พนักงานมี Passion ในการทำงาน และรีดศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด
โดยปัจจุบัน Playtorium Solutions จะเน้นให้บริการทดลองระบบซอฟต์แวร์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน หรือโปรแกรมบนพีซี เพื่อทำมาทดลองใช้งานกับดีไวซ์ที่หลากหลาย
ดังนั้น แทนที่จะเสียเวลาในการทดสอบ เพื่อค้นหาข้อผิดพลาด Playtorium จะเข้ามาช่วยตรงนี้ และช่วยลดระยะเวลาในการเทสระบบ ของผู้ประกอบการ ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดได้เร็วขึ้น
MFEC จะไม่ได้หยุดแค่การลงทุนกับพนักงานในเครือ เพราะด้วยการที่เป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดในมือกว่า 900 ล้านบาท ทำให้การเข้าไปร่วมลงทุนกับเอกชนรายอื่นสามารถเกิดขึ้นได้
“MFEC เชี่ยวชาญในเรื่องการวางระบบไอทีอยู่แล้ว แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไอทีสามารถเข้าไปช่วยอะไรได้บ้าง จากเดิมแทนที่ลูกค้าจะมาจ้างให้วางระบบ ก็จะเปลี่ยนรูปแบบเป็น MFEC เข้าไปทำระบบให้ พร้อมถือหุ้นในธุรกิจที่สนใจ เพื่อก่อให้เกิดรายได้ในระยะยาวแทน”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา