‘นมไฮโปรตีน’ กำลังมา ส่ง ‘ซีพี-เมจิ’ ฟาดส่วนแบ่ง ตลาดนมพาสเจอไรซ์เพิ่มอีก เป็น 55%

คุณคิดว่าแบรนด์ ‘ซีพี-เมจิ’ ทำอย่างไรถึงเป็นเบอร์ 1 ในตลาดนมพาสเจอไรซ์มาได้นานกว่า 20 ปี?

Meiji

ทุกวันนี้ ‘ตลาดแดรี่’ หรือ ‘ผลิตภัณฑ์จากนม’ มีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ 4-5 หมื่นล้านบาท โดย ‘นมพาสเจอไรซ์’ เป็นสินค้าที่เติบโตสูงที่สุด ประมาณ 11.6% สวนทางกับสินค้า ‘FMCG’ (Fast-Moving Consumer Goods หรือ สินค้าอุปโภคบริโภคที่หมุนเวียนเร็ว) อื่นๆ ที่ค่อนข้างเติบโตไปในทางลบ

ตลาดนมพาสเจอไรซ์มีมูลค่าอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งระหว่างช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2025 ซีพี-เมจิ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดไปแล้วถึง 55% โดยบริษัทมองว่า สาเหตุหนึ่งที่สามารถเพิ่มสัดส่วนนี้ได้ ก็มาจากการเติบโตของ ‘กลุ่มนมพาสเจอไรซ์พรีเมียม’

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซีพี-เมจิ วางจำหน่ายสินค้าในกลุ่มนมพาสเจอไรซ์พรีเมียม รวมถึง ‘นมไฮโปรตีน’ ออกไปมากขึ้น ซึ่งมูลค่าของตลาดไฮโปรตีนนั้นเรียกได้ว่าเติบโตคู่ขนานไปกับตลาดนมพาสเจอไรซ์เลย

‘อภิสิทธิ์ ธีรภาพรุ่งโรจน์’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด อธิบายว่า “เราเน้นเรื่องนวัตกรรมเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทมาตลอด เรายังสามารถมีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคเองก็มีความต้องการย่อยมากขึ้น คนที่สามารถตอบสนองได้เร็ว ก็จะสามารถจับกลุ่มตลาดได้มากขึ้น”

ในมุมของ ‘อภิสิทธิ์’ แล้ว ความต้องการที่ย่อยมากขึ้นของผู้บริโภคก็อย่างเช่น นมโปรตีน เพราะในท้องตลาดไม่ได้มีแค่นมโปรตีนทั่วไปอย่างเดียว แต่ต้องมีรายละเอียดลงลึกไปอีก อาทิ แลคโตสฟรี หรือไขมัน  0% เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างกันไป

ฝั่ง ซีพี-เมจิ เอง ก็เพิ่งออกผลิตภัณฑ์นมโปรตีนตัวใหม่เช่นกัน ในชื่อว่า ‘Meiji High Protein Activ’ ที่มีการผสม ‘Type II Collagen’ เข้าไปด้วย ซึ่งมีส่วนในการดูแลข้อต่อ รวมถึงบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ตอบโจทย์ผู้บริโภคสายออกกำลังกายหนักๆ

มาตรฐานก็สำคัญ ทำให้รายได้ปีนี้พุ่ง 1.5 หมื่นล้านบาท

Meiji

นอกจากนวัตกรรมแล้ว ‘คุณภาพ’ ก็เป็นสิ่งที่ ซีพี-เมจิ ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยอภิสิทธิ์เผยว่า สาเหตุที่แบรนด์ สามารถครองใจทั้งลูกค้าทั่วไปและร้านค้าธุรกิจต่างๆ มานานขนาดนี้ ก็มาจาก ‘มาตรฐาน’ ที่รักษามาดีตลอด 36 ปี ภายใต้การร่วมทุนระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กับเมจิ ประเทศญี่ปุ่น

ด้วยมาตรฐานที่คงที่ และการไม่หยุดพัฒนาตนเอง มันจึงไม่แปลกที่ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด จะสามารถทำรายได้สูงขึ้นทุกปี โดย

  • 2020: 9.2 พันล้านบาท
  • 2021: 9.5 พันล้านบาท 
  • 2022: 1.1 หมื่นล้านบาท
  • 2023: 1.2 หมื่นล้านบาท
  • 2024: 1.4 หมื่นล้านบาท

ในส่วนของปี 2025 ซีพี-เมจิ คาดว่า จะสามารถทำรายได้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตราวๆ 7% ซึ่งทางบริษัทบอกว่า จากผลประกอบการในช่วงเดือนมกราคม-กันยายนที่ผ่านมา องค์กรมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมายตามที่คาดการณ์ไว้

สนับสนุนเกษตรกรไทย 100% เชื่อว่าถ้าจะโต ต้องโตไปด้วยกันทั้งระบบ

ฟาร์มนม วัว โค

ในปีนี้ ซีพี-เมจิ ยังเพิ่งไปคว้ารางวัล ‘Thailand’s Best Managed Companies 2025’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วย โดยอภิสิทธิ์มองว่า ส่วนหนึ่งที่ได้รับก็มาจากความเชื่อที่องค์กรยึดถือมาตลอดอย่าง การใช้นมดิบของไทย 100%

ทุกวันนี้ ซีพี-เมจิใช้นมดิบหรือน้ำนมสดในการผลิต ‘นมจืด’ ทั้งหมด ขณะที่นมรสชาติอื่นๆ มีนมผงผสมด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นนมประเภทไหน ก็ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จาก ‘นมวัว’ ทั้งสิ้น ส่งผลให้ทางบริษัทรับนมวัวจากฟาร์มโคนมในไทยกว่า 6,000 ราย เฉลี่ยตกวันละ 600 ตันเลย

ซีพี-เมจิ เชื่อว่า วัตถุดิบที่ดีที่สุดคือวัตถุดิบที่มาจากไทย และต้องทำเพื่อคนไทย ซึ่งจะตอบโจทย์เป้าหมายขององค์กรในการยกระดับคุณภาพชีวิต ผ่านการส่งเสริม value chain ของคนไทยทั้งหมด โดยบริษัทเองก็มีโครงการสนับสนุนเกษตรกร รวมถึงฟาร์มโคนมอยู่ถึง 4 โครงการ ได้แก่

  1. ดูแลสวัสดิภาพสัตว์และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  2. สร้างฟาร์มต้นแบบ ช่วยให้ความรู้เรื่องการเพิ่มจำนวนและคุณภาพของนม
  3. สร้างเครือข่ายสหกรณ์ เพื่อให้เกษตรกรได้แบ่งปันความรู้ที่มีประโยชน์ต่อกัน
  4. ร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ในการป้องกันโรคในสัตว์

“ดูเหมือนมันไกลตัวจากการทำธุรกิจหรือการขายสินค้าในเชิงแดรี่ แต่เรามองว่า ถ้าเราจะเติบโต เราต้องเติบโตไปพร้อมกันทั้งระบบ เราต้องทำให้เกษตรกรไทยเติบโตได้ด้วย เราต้องเข้าไปพัฒนาร่วมกับเขาในสิ่งที่เรามีองค์ความรู้” อภิสิทธิ์กล่าว

อภิสิทธิ์บอกอีกว่า ในฐานะเจ้าใหญ่ในตลาด หน้าที่ของพวกเขาคือ บาลานซ์อุปสงค์กับอุปทาน ซึ่งอุตสาหกรรมนมวัวไทยมีขึ้นมีลงตลอด อย่างปีนี้เองน้ำนมวัวก็ล้นตลาด อันเป็นผลพวงมาจากช่วงที่นมเคยขาดตลาดแล้วองค์กรต่างๆ เข้าไปให้ความรู้แก่เกษตรกร จนปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้น 

พอตอนนี้นมล้นตลาด ซีพี-เมจิ ก็จะพยายามรับนมดิบเพิ่มขึ้น พร้อมขยายตลาดให้ไว โดยอภิสิทธิ์เชื่อว่า หากต้นน้ำโต บริษัทยิ่งต้องโตให้เร็ว

ในส่วนของปีหน้า ซีพี-เมจิ ตั้งเป้ารายได้ถึง 1.6 หมื่นล้านบาท โดยมองว่า บริษัทต้องมีความคล่องตัว ถึงจะผ่านความไม่แน่ไม่นอนไปได้อย่างเช่นปีนี้ 

สุดท้าย ซีพี-เมจิ ทำให้เห็นแล้วว่า หากอยากเติบโตไปข้างหน้า บางครั้งโตแค่ตัวเองอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องขับเคลื่อนทั้งระบบให้เติบโตไปพร้อมกัน ถึงจะประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

ที่มา: Meiji Thailand, Meiji High Protein, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา