ปัจจุบันธุรกิจบริการร่วมเดินทางเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยมลพิษมหาศาล จุดนี้เองทำให้ Lyft ตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือการให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2573 ตามแผน The Path to Zero Emission
ไม่ปล่อยมลพิษเพื่อความยั่งยืน
สำหรับแผน The Path to Zero Emission ของ Lyft มีรายละเอียดที่น่าสนใจคือ การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทั้งหมดในระบบภายในปี 2573 โดย Lyft จะเริ่มต้นในบริการ Express Drive หรือบริการเช่ารถยนต์ก่อน เนื่องจากรถยนต์ในบริการนี้ Lyft เป็นเจ้าของทั้งหมด
จากนั้นจะกระตุ้นให้ผู้ขับในระบบเปลี่ยนจากรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในติดตั้งไว้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ผ่านการให้สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยการกระตุ้นนั้นจะทำอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่รถยนต์ในระบบทุกคันจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในปี 2573
ขณะเดียวกัน Lyft ยังพร้อมกระตุ้นให้ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตระหนักรู้ถึงปัญหาของการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นรถยนต์ไร้คนขับ และอื่นๆ เพื่อใช้งานคู่ไปกับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และช่วยให้ลดการปล่อยมลพิษให้เหลือศูนย์ หรือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
เป้าหมายของ The Path to Zero Emission คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 16 ล้านตัน, ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ขับกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนถึง 60,000 ล้านไมล์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ความชัดเจนในการรักสิ่งแวดล้อมของ Lyft ค่อนข้างชัดเจนกว่าผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะคู่แข่งในสหรัฐอเมริกาโดยตรงอย่าง Uber เพราะเมื่อปี 2562 ทาง Lyft มีการให้บริการด้วย Green Mode ที่ให้ผู้ร่วมเดินทางขอใช้งานแต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Hybrid เท่านั้น
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกวิธีในการลดมลพิษ ดังนั้นการที่ Lyft ออกมาประกาศความชัดเจนแบบนี้ ก็น่าจะช่วยให้ผู้เล่นรายอื่นหันมาจริงจังกับเรื่องนี้บ้าง แต่ก็ต้องติดตามต่อไปว่า 10 ปีข้างหน้า Lyft จะดำเนินธุรกิจได้แค่ไหน จะเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา