แบรนด์สินค้าหรูเข้าสู่ขาลงในปี 2023 หลังทำกำไรมหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลจากสถานะทางการเงินของลูกค้าตึงตัว เงินเก็บหมด และเศรษฐกิจไม่แน่นอน
หุ้นของ LVMH บริษัทแม่ของแบรนด์หรูชื่อดังหลายแบรนด์ปรับลดลง 8.5% เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการปรับลดลงมากที่สุดที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวในช่วงเกือบ 2 ปีมานี้ หลังบริษัทรายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยยอดขายเติบโต 9% ลดลงจากเดิมที่อยู่ที่ 17% ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดในบรรดาแบรนด์หรูยักษ์ใหญ่ของยุโรปลดลงประมาณ 20% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
Bloomberg รายงานว่า การที่หุ้นของ LVMH ราคาร่วงลงทำให้มูลค่ายอดขายรวมของ 7 แบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งยุโรปลดลง 2.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐนับตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ Nicholas Colas ผู้ร่วมก่อตั้ง DataTrek บริษัทข้อมูลและวิจัยกล่าวว่า การที่รายได้ของ LVMH เติบโตแบบชะลอตัวลงอาจเป็นสัญญาณของจุดจบของยุคฟองสบู่ของสินค้าแบรนด์หรูทั่วโลก
นอกจาก LVMH แล้ว ในสหรัฐอเมริกา Tapestry และ Ralph Lauren แบรนด์หรูในกลุ่มบริษัท S&P 500 ก็อยู่ในช่วงชะลอตัวลงในปี 2023 โดย Bank of America คาดการณ์ว่า ในภาพรวม หุ้นร่วงลง 17% จากช่วงที่หุ้นขึ้นสูงสุด
ส่วน Hermes จะเปิดเผยตัวเลขยอดขายภายในเดือนนี้ ซึ่ง Hermes มักจะฟื้นตัวจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เพราะความต้องการซื้อกระเป๋า Birkin และ Kelly เกินซัพพลายทำให้มียอดคำสั่งซื้อที่ยังคงค้างไว้และหุ้นก็ยังเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปีนี้
ข้อมูลของ Bank of America ยังเผยให้เห็นการใช้บัตรเพื่อรูดซื้อสินค้าแฟชั่นหรูที่ลดลง 6 ไตรมาสติดต่อกันนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และการใช้จ่ายกับสินค้าหรูก็ลดลง 16% ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแฟชั่นได้เตือนว่า แบรนด์สินค้าหรูจะไม่สามารถพึ่งพาการสร้างรายได้และกำไรจากกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน สาเหตุใหญ่มาจากวิกฤติเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ เนื่องจากจีนเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกและลูกค้าชาวจีนเป็นกลุ่มผู้ซื้อสินค้าหรูของสหรัฐอเมริกาและยุโรปกลุ่มใหญ่ ทำให้เมื่อเศรษฐกิจจีนถดถอยลง ความต้องการซื้อของชาวจีนก็เลยลดลงตามไปด้วย
ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า การใช้จ่ายของชาวอเมริกันเองก็อาจจะกลับกลายเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับช่วงก่อนหน้าที่ใช้จ่ายมาก เหตุเพราะถึงช่วงที่จะต้องชำระหนี้การศึกษา และผู้บริโภคใช้จ่ายเงินเก็บจำนวนมากไปในช่วงโควิด
San Francisco Fed ได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นปีนี้ว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันจะไม่เหลือเงินเก็บเมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และนักวิเคราะห์ได้กล่าวว่า มีโอกาสที่สถานการณ์การเงินนี้จะกระทบต่อหุ้นของบริษัทค้าปลีกต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ้นของสินค้าแบรนด์หรูจะลดลง แต่จะส่งผลดีต่อหุ้นฝั่งเทคโนโลยีที่สามารถดึงดูดนักลงทุนจากการพัฒนา AI โดย Nicholas Colas เปรียบเทียบว่า วงการเทคโนโลยีมักจะมีสินค้าใหม่เข้ามาเสมอ ขณะที่แบรนด์หรูมีสินค้าเดิมที่คล้าย ๆ กันและมีราคาสูง
Colas เสริมว่า เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และสินค้าหรูเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อหุ้นสินค้าหรูเริ่มเข้าสู่ช่วงชะลอตัวลงจากความต้องการซื้อที่ลดลง ส่วนวงการดูแลสุขภาพก็เติบโตคงที่ ตัวเลือกเดียวที่นักลงทุนจะมองหาก็คือเทคโนโลยี
ที่มา – Markets Insider, Bloomberg
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา