อาหารจานหรูทั้งเนื้อวากิว ทูน่าบลูฟิน คาร์เวียร์เหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังโควิด-19 แพร่ระบาดจนร้านอาหารและโรงแรมต่างๆ ต้องปิดกิจการชั่วคราว มาตรการ Lockdown ไม่ได้หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ชะงักงันเท่านั้นแต่ยังทำให้คนชะลอการจับจ่ายใช้สอยตามไปด้วย
Jean-Marie Barrillere ประธานร่วมแห่ง Union of Champagne Houses กล่าวว่า เขาหวังว่าผู้คนจะออกมาเฉลิมฉลองในช่วงที่มีการผ่อนคลาย Lockdown ด้วยแชมเปญสักขวด แต่มันคงยากเกินไป ช่วงเวลานี้ถือเป็นเวลาแห่งสงครามจริงๆ ผู้ผลิตอาหารพรีเมียมหลายรายทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเนื้อวากิว ทูน่าบลูฟิน หรือคาร์เวียร์ต่างก็ตัดสินใจที่จะหาทางขายสินค้ากับลูกค้าได้โดยตรง เพื่อจะทำให้ตัวเองอยู่รอดต่อไปได้ ในขณะที่บางรายก็จำต้องลดการผลิตลง
ที่ญี่ปุ่น ราคาทูน่าบลูฟิน ที่ว่ากันว่าแพงแสนแพง แพงมหาโหด ก็มียอดขายลดลงกว่า 40% จากเดิมที่มีราคาสูงมาก ทูน่าบลูฟินมีน้ำหนักราว 200 กิโลกรัม ราคาจะอยู่ที่ราว 20-40 เหรียญสหรัฐต่อทูน่าฯ ที่มาจากทางตะวันออกน้ำหนักราว 4-5 ขีด (ประมาณ 600 – 1,200 บาท)
ถ้าเป็นทูน่าฯ จากทางเหนือจะมีมูลค่ามากถึง 200 เหรียญสหรัฐ (6,200 บาท) ต่อน้ำหนัก 4-5 ขีด ทูน่าจากญี่ปุ่นถูกประเมินว่าเป็นเนื้อทูน่าที่ดีที่สุดในโลก และถ้าเป็นช่วงพีค ทูน่าฯ จะมีราคาสูงมาก น้ำหนักตัวประมาณ 400-450 กิโลกรัม มีราคามากถึง 400 เหรียญสหรัฐ (1.2 หมื่น) ต่อทูน่าฯ 4.5 ขีด
เนื้อวากิวที่ต้องหั่นราคาลงเช่นกัน ราว 30%
ผู้ผลิตหลายรายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องลดราคา
คาร์เวียร์ก็กระทบเช่นกัน Russian Caviar House ก็หั่นราคา Beluga hybrid caviar มากถึง 30% แม้ว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิและช่วงฤดูร้อนที่ถือเป็นหน้าโลว์ซีซันสำหรับการทานคาร์เวียร์ แต่ถ้าเทียบกับยอดขายปีที่แล้ว ถือว่ายอดลดลง 50%
คาร์เวียร์มีราคาสูงมากราว 35,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 กิโลกรัม (ราว 1.08 ล้านบาท)
ยอดจองอาหารหรูผ่าน OpenTable ซึ่งเป็นบริการรวมการจองร้านอาหารออนไลน์ลดลงมากกว่าปีที่แล้วถึง 80% ทั้งในสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ และเม็กซิโกต่างก็มีปริมาณที่ลดลงถ้วนหน้า
ที่มา – Japan Today, Luxus
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา