LINE MOBILE เปิดตัวในประเทศไทย บอกเลยงานนี้ไม่ธรรมดา

สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารของ LINE มาโดยตลอดจะรู้ว่า LINE MOBILE ในประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับ NTT docomo ให้บริการโทรศัพท์มือถือแบบ MVNO (Mobile Virtual Network Operator) หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง เหมือนกับ i-mobile หรือ ซิมเพนกวิน ในประเทศไทย โดยคิดค่าบริการรายเดือนราคาถูก เริ่มต้น 500 เยน (ประมาณ 150 บาท) และใช้บริการ LINE ฟรีไม่เสียค่าเน็ต (ดูรายละเอียด LINE MOBILE ที่ญี่ปุ่น)

และวันนี้ LINE MOBILE ได้มาเปิดตัว พร้อมให้บริการแบบ BETA ในประเทศไทยแล้ว ซึ่งจุดเด่นใช้บริการ LINE ฟรีไม่เสียค่าเน็ต (ทั้งแชท และโทรผ่าน LINE) พร้อมรายละเอียดที่ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา

LINE MOBILE ไม่เกี่ยวอะไรกับ LINE Thailand

LINE MOBILE เป็นบริษัทตั้งขึ้นมาต่างหาก ไม่เกี่ยวกับ LINE Thailand ที่ให้บริการแอปพลิเคชั่นอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการของ LINE Thailand ได้ให้สัมภาษณ์กับ ผู้จัดการออนไลน์ ว่า LINE MOBILE ไม่เข้าตลาดไทย เพราะ LINE ก็เป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการมือถือในไทย และมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่แล้ว (อ้างอิง: manager.co.th)

อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการครั้งนี้ LINE MOBILE ถือเป็นผู้ให้บริการมือถืออีกรายหนึ่ง โดยผู้สนใจจะใช้งานได้ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ที่ th.linemobile.com (ยังเข้าใช้งานไม่ได้) จากนั้นรอ 1-3 วัน ซิมจะส่งมาถึงที่บ้าน จากนั้นสามารถเปิดใช้บริการ และจัดการทุกอย่างได้ผ่านแอป LINE MOBILE โหลดมาติดตั้งได้ทั้ง iOS และ Android

ในญี่ปุ่น LINE MOBILE ให้บริการแบบ MVNO

ค่าบริการช่วงทดลอง เน้นจริงใจ เปลี่ยนได้ตลอด

ค่าบริการมีการกำหนดในเบื้องต้น 6 แพ็คเกจ (XS – XXL) อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสม (นี่เป็นช่วง BETA) โดย XS คิดค่าบริการ 299 บาท โทรได้ 100 นาทึ ใข้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1GB

จากนั้นค่าบริการจะไล่ขึ้นไป S 399, M 499, L 699, XL 899 และ XXL 1099 อย่างไรก็ตาม ต้องรอการประกาศแพ็คเกจค่าบริการจริง ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

รายละเอียดเบื้องต้น คิดค่าโทรส่วนเกิน นาทีละ 99 สตางค์ (คิดตามจริงเป็นวินาที) อินเทอร์เน็ตเมื่อเกินจากแพ็คเกจ สามารถใช้งานต่อได้ที่ความเร็ว 256Kbps หรือจะซื้อแพ็คเกจเสริมความเร็วสูง 1GB ราคา 120 บาท สามารถเปลี่ยนแพ็คเกจหลักได้ตลอดเวลาผ่านแอป LINE MOBILE โดยมีผลในรอบบิลถัดไป

จุดเด่นอีกประการคือ แอป LINE MOBILE สามารถเช็คยอดค่าโทร เช็คการโทรและอินเทอร์เน็ตที่เหลือ กดเปลี่ยนแพ็คเกจหลัก สามารถควบคุมความเร็วเน็ตได้ (สลับระหว่างเน็ตเต็มสปีด – 256Kbps) กรณีต้องการเน็ตความเร็วสูงไว้ใช้ ควบคุมค่าบริการที่เกินจากแพ็คเกจ หากเกินที่กำหนดบริการทั้งหมดจะหยุดทันที สมัครแพ็คเกจเสริม สามารถจ่ายค่าบริการด้วย Rabbit LINE Pay และดาวน์โหลดใบแจ้งหนี้และใบกำกับภาษีได้

ทั้งหมดทำได้ด้วยตัวเองผ่านแอปได้เลย

ภาพตัวอย่าง แอปพลิเคชั่น LINE MOBILE

LINE MOBILE ให้บริการผ่าน dtac TriNet ยืนยันไม่ใช่ MVNO

อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการของ LINE MOBILE มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่หลายประการ เนื่องจาก LINE MOBILE ยังไม่เปิดเผยข้อมูลทางกฎหมายและแผนธุรกิจในเวลานี้ แต่จากข้อมูลเบื้องต้น LINE MOBILE ให้บริการบนคลื่นความถี่ 850, 1800 และ 2100MHz ผ่านผู้ให้บริการ dtac TriNet หรือ DTN เท่ากับว่า มีการใช้คลื่นความถี่ และโครงข่ายของ DTN

ทั้งนี้ LINE MOBILE ยืนยันว่า ไม่ใช่ผู้ให้บริการ MVNO แต่เป็นผู้ให้บริการมือถือแบบดิจิทัล (?) ผ่าน dtac TriNet

ประเด็นนี้แตกต่างจากการเป็นผู้ให้บริการ MVNO ที่ต้องมีใบอนุญาตให้บริการประเภทที่ 1 (ไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง) ซึ่งมีลักษณะเหมือนกรณี ทีโอที ให้ i-mobile หรือ CAT ให้กับ ซิมเพนกวิน) แต่ยังไม่มีข้อมูลว่า LINE MOBILE ได้ใบอนุญาตประเภท 1

อีกประเด็นหนึ่งคือ dtac ร่วมมือกับ LINE MOBILE นำแบรนด์ LINE MOBILE มาใช้ทำตลาด แต่จะเพื่อชนกับคู่แข่ง MVNO ซึ่งปัจจุบันมี เพนกวิน ที่แอคทีฟที่สุด (มียอดผู้ใช้แอคทีฟกว่า 2 แสนราย) หรือเพื่อเป้าหมายอื่น ยังไม่แน่ชัด

หากพิจารณาจากสภาพตลาดการให้บริการโทรศัพท์มือถือของไทย ซึ่งมีผู้ให้บริการหลัก 3 ราย คือ AIS, dtac และ Truemove การจะมีผู้ให้บริการหลักรายที่ 4 เป็นเรื่องที่ยากในสถานการณ์ที่ตลาดค่อนข้างอิ่มตัว มีอัตราหมายเลขโทรศัพท์เกินกว่าจำนวนประชากรไปแล้ว ยิ่งผู้ให้บริการในลักษณะ MVNO ในอดีตที่ผ่านมาก็ไม่สามารถทำตลาด เพิ่มจำนวนผู้ใช้ได้ไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัด เช่น การไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง ฯลฯ

ดังนั้นโอกาสที่ LINE MOBILE จะประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยชื่อแบรนด์ LINE ซึ่งเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว การทุ่มงบการตลาดอย่างหนัก และต้องมีแพ็คเกจค่าบริการที่โดนใจจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุน

สรุป

ยังต้องจับตามองกันต่อไปว่า LINE MOBILE มีเป้าหมายทางธุรกิจอย่างไร ในด้านความน่าสนใจมีบริการหลายส่วนที่น่าจะถูกใจ ผู้ใช้รุ่นใหม่ เช่น การสลับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเก็บไว้ใช้ แม้จะให้ค่าโทรมาจำกัด แต่โทรผ่าน LINE MOBILE ได้ไม่เสียค่าเน็ต ถ้ามี LINE กันอยู่สบายเลย รวมถึงสามารถควบคุมการใช้งานเกือบทั้งหมดได้เองผ่านแอป

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปิดให้บริการแบบ BETA ผ่านระบบการลงทะเบียนออนไลน์เท่านั้น (ยังไม่มีหน้าร้าน) รวมถึงรายละเอียดหลายส่วนที่ยังไม่เปิดเผย และเป้าหมายทางธุรกิจที่ยังคลุมเครือ ทำให้ยังมองอนาคตได้ไม่ชัด แต่ในเบื้องต้นคาดการณ์ได้ว่า โอกาสประสบความสำเร็จในตลาดให้บริการโทรศัพท์มือถือในไทยไม่ง่ายเลย

ข้อมูลอ้างอิง: Blognone, Manager Online

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา