LG Electronics ประกาศปิดธุรกิจโทรศัพท์มือถือ โดยมติดังกล่าวผ่านการอนุมัติของบอร์ดเรียบร้อย (5 เม.ย. 64) โดยคาดว่ากระบวนการทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยประมาณ 31 ก.ค. 64 หลังจากที่ทำตลาดสมาร์ทโฟนทั้งทั่วโลกและในไทยมาหลายสิบปี
ประกาศจาก LG ระบุว่าจะหันไปเน้นธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุปกรณ์เสริมและต่อพ่วงต่างๆ รวมถึงธุรกิจ IoT เช่น อุปกรณ์เชื่อมต่อ, สมาร์ทโฮม, โรบอท และ AI รวมถึงแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจ B2B
ทำไม LG ถึงเลิกธุรกิจสมาร์ทโฟน
ตลาดสมาร์ทโฟนมีการแข่งขันดุเดือดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยแบรนด์ที่ครอบตำแหน่งผู้นำมาได้ในรอบ 10 ปีนี้คือ ไอโฟนจากแอปเปิล และ Samsung แบรนด์จากเกาหลีใต้เช่นเดียวกับ LG ซึ่งถือเป็น 2 รายใหญ่ที่สุดในตลาดโลกเวลานี้ แต่ในระยะ 2-3 ปีมานี้แบรนด์จากจีน ได้แก่ หัวเว่ย, เสียวหมี่, วีโว่, ออปโป้ ก็มาแรงมากเช่นเดียวกัน
ขณะที่ผลประกอบการ LG ในช่วง 6 ปีล่าสุดขาดทุนกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ โดยทาง LG ระบุว่า แม้แบรนด์จะเป็นที่นิยมอันดับ 3 ในทวีปอเมริกาเหนือ รวมถึงมียอดขายที่ดีในเกาหลีใต้ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอเมื่อเทียบตลาดภูมิภาคอื่นๆ เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
บริษัทวิจัย Counterpoint เปิดเผยว่า ปี 2020 ที่ผ่านมา LG มียอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลก 28 ล้านเครื่อง เทียบกับ Samsung ที่มียอดขาย 256 ล้านเครื่อง ถือว่าห่างกันมาก และนั่นทำให้สมาร์ทโฟน เป็นธุรกิจที่เล็กที่สุดของ LG จาก 5 ธุรกิจหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ 7.4% และมีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 2%
LG ยังแข็งแกร่งในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า
เมื่อเห็นตัวเลขแล้วการเลิกธุรกิจสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ LG ยังคงมีความแข็งแกร่งในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เฉพาะทีวีได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก Samsung รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ก็ยังมีโอกาสอยู่ไม่น้อย
ขณะที่ในประเทศไทย ต้องยอมรับว่า สมาร์ทโฟน LG ไม่มีความเคลื่อนไหวมาสักระยะแล้วเช่นกัน แต่ในธุรกิจอื่นๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในทุกกลุ่มยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักในตลาด
ส่วนใครที่ยังใช้งานสมาร์ทโฟน LG อยู่ ทาง LG ยืนยันว่าสินค้าเกี่ยวกับสมาร์ทโฟนทั้งหมดจะยังคงมีวางจำหน่ายต่อไป รวมถึงมีบริการหลังการขายและการอัพเดทซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ตราบเท่าที่ยังไม่ตกรุ่น นอกจากนี้ด้วยความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีโมบายมาหลายสิบปี LG จะใช้จุดนี้ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น 6G เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอื่นๆ ในปัจจุบัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา