“ด้วยอัตราการเติบโตระดับนี้ จีนจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของ Uber และน่าจะใหญ่กว่าอเมริกาเสียอีก สัญญาณที่ผ่านมานั้นออกมาดี เราประสบความสำเร็จที่ประเทศจีนในระดับที่น้อยบริษัทเทคโนโลยีอเมริกาจะมาถึง” นี่เป็นส่วนหนึ่งของจดหมายที่ Travis Kalanick ซีอีโอ Uber ชี้แจงกับนักลงทุนเมื่อปี 2015 กล่าวถึงความสำเร็จของการบุกตลาดจีนนับตั้งแต่ปี 2014
แต่ผ่านมาเพียง 1 ปี ทุกอย่างก็กลับเป็นตรงกันข้าม Uber ประกาศขายกิจการส่วนธุรกิจในจีน หรือ UberChina ให้กับคู่แข่ง Didi Chuxing ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของแอพเรียกรถแท็กซี่ที่นั่น โดยแลกกับการเข้ามาถือหุ้น 20% ใน Didi Chuxing แทน
![แอพ Uber ในประเทศจีน (ภาพ Flickr : bfishadow)](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2016/08/14656314348_f3aa8acb78_b.jpg)
เกิดอะไรขึ้นจนทำให้ Uber บริษัทเทคสตาร์ทอัพนอกตลาดหุ้นที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลก (68,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.3 ล้านล้านบาท) และมีเงินสดในมืออยู่มาก เลือกถอยในตลาดประเทศจีน หลังบุกเข้าไปได้เพียง 2 ปี ในตลาดที่ทั่วโลกล้วนสนใจ มาดูว่าเราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้กัน
อีกครั้งที่บริษัทไอทีอเมริกา เจาะเมืองจีนไม่สำเร็จ
การยอมถอยของ Uber ครั้งนี้น่าจะเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมแล้ว ในอดีตมีบริษัทไอทีอเมริกาหลายแห่ง พยายามบุกเข้าไปในตลาดประเทศจีน ประเทศแห่งโอกาสทางธุรกิจเพราะมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป ทั้ง Google, Yahoo!, eBay หรือ Microsoft แม้กระทั่ง Apple เอง ในวันนี้ก็ยังยากที่สรุปว่าประสบความสำเร็จสวยงามในจีน
UberChina เองไม่ได้บุกตลาดจีนแบบโดดเดี่ยว บริษัทเลือกพาร์ทเนอร์กับ Baidu หนึ่งในสามยักษ์ไอทีจีน เพื่อใช้ฐานข้อมูลเสิร์ชและแผนที่ร่วม แต่ถึงอย่างนั้นการแข่งขันก็ไม่ง่าย เพราะ Didi มีพาร์ทเนอร์คืออีกสองยักษ์ที่เหลือ Alibaba, Tencent ร่วมด้วยกองทุนขนาดใหญ่ในจีน
![Travis Kalanick ซีอีโอ Uber](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2016/08/Travis_Kalanick_LeWeb-1024x678.jpg)
อดีตนั้น Uber เคยพยายามขอซื้อกิจการ Didi เพื่อให้เจาะตลาดจีนได้ง่ายขึ้น แต่ Didi ปฏิเสธดีลนั้น Didi รู้ดีว่าความเป็นท้องถิ่นและมีทีมสนับสนุนที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ชนะศึกนี้ได้ Uber เองก็ประสบความลำบากขึ้นเมื่อบัญชี Uber ใน WeChat แอพสนทนาที่คนจีนใช้มากที่สุดถูกบล็อก ช่องทางการสื่อสารการตลาดที่ดีที่สุดช่องทางหนึ่งจึงหายไป
อีกปัจจัยที่ทำให้ Uber เลือกยอมแพ้ ก็คือการผ่านกฎหมายให้บริการเรียกรถยนต์ส่วนตัวมาบริการโดยสารของจีน ซึ่งเงื่อนไขหนึ่งระบุว่าห้ามให้บริการโดยคิดราคาต่ำกว่าต้นทุน ส่งผลให้ Uber ที่มีเงินสดในมือมาก และถนัดในการทำการโปรโมชันให้เครดิตส่วนลด ขาดจุดแข็งที่จะต่อสู้กับ Didi ได้นั่นเอง
จำนวนผู้ใช้เพิ่มเป็นจรวด แต่กำไรไม่มา Uber ก็ไม่เอา (แล้ว)
การมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเติบโตต่อเนื่อง คือความฝันของเทคสตาร์ทอัพทั้งหลาย จนกระทั่งเกิดเป็นโมเดลว่าจะขาดทุนบ้างก็ไม่เป็นไร ขอให้ผู้ใช้เพิ่มขึ้นมาตลอด UberChina เองก็เคยเป็นเช่นนั้น
อัตราการเติบโตของจำนวนทริปในเมืองจีนสำหรับ UberChina นั้นดูตื่นตาตื่นใจมาก 9 เดือนหลังให้บริการในเมืองเฉิงตู ตัวเลขการเติบโตนั้นสูงกว่านิวยอร์กถึง 479 เท่า เมืองอื่นในจีนแม้เติบโตน้อยกว่า แต่ก็ยังน่าสนใจระดับหลายสิบหลายร้อยเท่า
![กราฟการเติบโตของ Uber ในจีนเทียบกับเมืองอื่น เมื่อวัดระยะเวลาหลังเปิดตัว](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2016/08/uber_china.png)
อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ Kalanick ยอมรับว่าเพื่อแลกกับการเติบโตนี้ UberChina ได้ลงทุนไปเป็นเงินพันล้านดอลลาร์ และยังไม่สามารถทำกำไรได้ เขาก็มองว่า Didi เองก็อยู่ในสถานการณ์นี้เช่นกัน แต่จำนวน users ของ Didi นั้นมีมากกว่า UberChina 4-5 เท่าตัว จึงยังมีโอกาสทำอะไรได้มากกว่า
การตัดสินใจนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญไม่น้อย ที่ผ่านมาเราเห็นความคาดหวังในการเติบโตของผู้ใช้งานในสตาร์ทอัพ ด้วยหวังว่ามีคนใช้เยอะๆ และพอติดกับสินค้าก็จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้ แต่ Uber กลับเลือกไม่เดินหน้าต่อในเส้นทางนี้ เพราะมองว่าทำต่อไปก็มีแต่ขาดทุน
จะเกิดอะไรต่อไปจากนี้กับแอพแท็กซี่ในจีน
เมื่อแข่งขันกันแล้วเหนื่อยก็มาเป็นพวกเดียวกันดีกว่า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Didi x Uber ในแถลงการณ์ของ Uber นั้นพูดถึงประเด็นนี้ชัดเจนว่า เพื่อให้ทั้งสองบริษัทสามารถทำธุรกิจต่อไปได้อย่างมีกำไร มีความยั่งยืน และเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าอย่างแท้จริง
ดีลนี้ยังถูกเทียบเคียงกับการขาย Yahoo! China ให้กับ Alibaba เมื่อสิบปีที่แล้ว โดย Yahoo! ได้หุ้น Alibaba มาส่วนหนึ่งในเงื่อนไขการขายกิจการ และปัจจุบันหุ้น Alibaba นี้ก็กลายเป็นสินทรัพย์มูลค่าสูงยิ่งกว่าตัวธุรกิจ Yahoo! เสียอีก ก็ไม่แน่ว่าหุ้น Didi 20% ที่ Uber ได้มานั้นอาจจะกลายเป็นขุมทรัพย์สำคัญของ Uber ต่อไปก็ได้
ทั้งแอพ Uber และ Didi จะยังให้บริการในจีนต่อไปแบบแยกแบรนด์ ดีลนี้ยังสร้างแรงสะเทือนไปยังแอพประเภทเดียวกันในต่างประเทศด้วย อย่างเช่น Grab ที่มี Didi ร่วมลงทุนก็ประกาศว่าจะสามารถเอาชนะ Uber ได้ในภูมิภาค South East Asia
![Lyft แอพคู่แข่งสำคัญของ Uber ในฝั่งตะวันตก กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หลัง Didi รวมกิจการกับ UberChina](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2016/08/Lyft_app-1024x778.png)
คนที่ดูจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากกลับเป็น Lyft ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของ Uber ในอเมริกา เพราะ Lyft นั้นก็ได้รับเงินลงทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์จาก Didi เช่นกัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ลงทุนใน Lyft ก็มี Uber คู่แข่งหลักเป็นส่วนหนึ่งในนั้นเข้ามาด้วย
โฆษกของ Lyft เองก็ให้สัมภาษณ์ว่า จะมีการตรวจสอบเงื่อนไขข้อตกลงในการเป็นพันธมิตรกับ Didi อีกครั้ง ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปจากนี้
เรียบเรียงจาก
- WSJ: Uber in China: Why Foreigners Never Win in Tech
- Uber’s Efforts to Build Chinese Business Ultimately Fail Against Homegrown Rival Didi
- Business Insider: Uber just suffered its largest setback — and startups should take note
- CNBC: What does Uber’s China deal mean for Lyft?
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา