Computer Science หรือ ‘วิทยาการคอมพิวเตอร์’ ที่เคยถูกยกให้เป็นอาชีพการันตีอนาคต กำลังเผชิญความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

อาชีพที่เคยถูกมองว่า เป็นบันไดสู่ความสำเร็จ เงินเดือนสูงๆ และข้อเสนองานมากมาย กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลายคนที่จบจากสถาบันชั้นนำยังต้องดิ้นรนกับการหางานเพียงหนึ่งตำแหน่ง
นี่ไม่ใช่เรื่องของ AI เพียงอย่างเดียว แต่คือการสั่นคลอนทั้งอุตสาหกรรมที่ทำให้ผู้ปกครอง นักศึกษา และสถาบันการศึกษาต่างตั้งคำถามกับอนาคตของสายอาชีพนี้
‘Hany Farid’ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ อธิบายผ่านพอดแคสต์ Particles of Thought ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ “น่าตกใจ” เพราะแม้ AI เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ รวมกันจนทำให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ที่เบิร์กลีย์เอง จากเดิมนักศึกษามักได้ข้อเสนอฝึกงานถึงห้าแห่งระหว่างสี่ปีการเรียน และเมื่อเรียนจบก็มีงานเงินเดือนสูงให้เลือกมากมาย แต่วันนี้พวกเขายินดีแล้ว หากได้ข้อเสนอเพียงหนึ่งงาน
‘Farid’ มองว่า โอกาสใหม่สำหรับบัณฑิต Computer Science อาจไม่ได้อยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Silicon Valley อีกต่อไป แต่คือการประยุกต์กับสาขาอื่น
เช่น การค้นพบยาด้วยคอมพิวเตอร์ การแพทย์ด้านภาพถ่าย ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงคำนวณ การเงินเชิงคำนวณ มนุษยศาสตร์ดิจิทัล ศิลปะ ดนตรี รวมถึงสังคมศาสตร์เชิงคำนวณและนโยบาย
เขาย้ำว่า ปริญญา Computer Science ไม่ใช่แค่การเรียนเขียนโค้ดเท่านั้น แต่คือการเรียนรู้เครื่องมือเพื่อสร้างนวัตกรรมในทุกแขนงของสังคม
คำแนะนำของเขาต่อนักศึกษาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เดิมที ‘Farid’ แนะนำให้เรียนรู้อย่างกว้าง แล้วลงลึกเฉพาะด้านหนึ่งเพื่อให้เชี่ยวชาญ แต่ทุกวันนี้เขากลับบอกให้นักศึกษาพัฒนาทักษะให้หลากหลาย เพราะไม่มีใครรู้ได้เลยว่า ตลาดแรงงานในอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร
แรงกดดันนี้สะท้อนผ่านข้อมูลจริงในอุตสาหกรรม เพียงครึ่งแรกของปีนี้ สหรัฐอเมริกาสูญเสียตำแหน่งงานสายเทคไปแล้วกว่า 78,000 ตำแหน่ง จากการนำ AI มาแทน โดยเฉพาะงานระดับเริ่มต้นอย่างโคดดิ้ง และนักวิเคราะห์ที่ถูกแทนที่ได้ง่าย
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจาก Google พบว่า 90% ของแรงงานสายเทคในตอนนี้ใช้ AI มาช่วยเขียนโค้ด แม้หลายคนยังเห็นต่างกันว่า มันทำให้ผลงานดีขึ้นจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ ยังคาดว่า การจ้างงานนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะเติบโตเกือบ 18% ภายในปี 2033 สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาชีพอื่นๆ ขณะเดียวกัน งานในสหรัฐฯ ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติถึง 30% และทั่วโลกอาจสูงถึง 300 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030
ในอีกด้านหนึ่ง ความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI ก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยประกาศรับสมัครงานที่ระบุว่า ต้องการทักษะ AI เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน
‘Farid’ ทิ้งท้ายว่า อนาคตไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า AI จะมาแทนคนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าใครจะใช้ AI ได้หรือเปล่า
“ผมไม่คิดว่า AI จะทำให้ทนายความตกงาน แต่ทนายความที่ใช้ AI จะทำให้ทนายที่ไม่ใช้ AI ตกงาน และสิ่งนี้ใช้ได้กับทุกวิชาชีพ”
- เรียนไอที ก็ตกงานได้ ผลสำรวจพบเด็กรุ่นใหม่แห่เรียน แต่บริษัทเทคเริ่มหั่นงบ-เอา AI มาแทนที่
- เด็กจบใหม่ฟังทางนี้ นักวิจัยชี้ AI ไม่ได้แทนที่มนุษย์ซะทีเดียว แต่จะเปลี่ยนวิธีทำงานอย่างมาก ต้องเร่งเพิ่มทักษะก่อนจะสายไป
ที่มา: Business Insider, New York Post
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา