วันนี้เลย์ออฟ วันหน้าอย่ามาง้อแล้วกัน! ผู้เชี่ยวชาญเผย ในอีก 5 ปี บริษัทที่เอา AI มาแทน จะรู้สึกเสียดายแน่ๆ

กลับมาได้หรือเปล่า กลับมาหาฉันทีได้ไหม คนดี 

Work

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปีนี้ เราเห็นข่าวการ ‘เลย์ออฟ’ บ่อยมากๆ จนแทบจะเบื่อแล้วล่ะ โดยเฉพาะในบริษัทเทคที่อ้างว่า “จะเอา AI มาแทน”

หากนับแค่ปี 2025 ซึ่งยังไม่จบปีเลยด้วยซ้ำ บริษัทเทคหลากหลายเจ้าได้เลย์ออฟพนักงานออกไปมากกว่า 64,000 คนแล้ว โดยมี Microsoft และ Intel เป็นแกนนำ

นี่คงเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเลย์ออฟครั้งใหญ่เท่านั้น เพราะ ‘Sam Altman’ ซีอีโอ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT มองว่า ในอนาคต จะต้องมีบริษัทที่สามารถสร้างมูลค่าให้ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ได้ด้วยน้ำมือของคนคนเดียวแน่ๆ แล้วงานที่เหลือก็ให้ AI ช่วย

ฝั่งซีอีโอของ Anthropic องค์กรวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์เองก็คาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปี AI จะมาแทนที่เหล่าพนักงานออฟฟิศระดับเริ่มต้นได้เกินครึ่งเลย

อย่างไรก็ตาม ‘Alexandra Ebert’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI และ Data Democratization ของบริษัท Mostly AI กลับเชื่อว่า องค์กรที่แห่กันเลย์ออฟพนักงานตอนนี้ จะต้องมานั่งรู้สึกเสียดายในอีก 5 ปีข้างหน้า

ทั้งๆ ที่ Ebert ก็เป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับ AI บ่อยไม่แพ้ซีอีโอบริษัทเทคคนอื่นแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงคิดเช่นนั้น? มาดูกัน

มนุษย์คือผู้สร้างสรรค์ ส่วน AI คือนักก็อป

จากสถานการณ์การเลย์ออฟแบบฉ่ำๆ ในปัจจุบัน Ebert พูดเลยว่า “ไม่ใช่แค่ดูไม่มีวิสัยทัศน์นะ แต่เป็นพื้นฐานของการเป็นธุรกิจห่วยๆ เลยต่างหาก”

แม้ผู้นำหลายองค์กรเชื่อว่า การที่พวกเขานำ AI มาใช้แทนคน ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจนำหน้าคนอื่น แต่ Ebert บอกว่า บริษัทที่ปลดพนักงานออกด้วยเหตุผลนี้ คือคนที่จะต้องมานั่งไล่ตามชาวบ้านในอนาคต

แน่อยู่แล้วว่า AI ช่วยประหยัดเวลาการทำงานได้ในหลายๆ แง่ แต่สิ่งที่พวกมันทำไม่ได้คือการ ‘สร้างสรรค์’ สิ่งใหม่ๆ

Ebert เผยว่า บริษัทที่จะอยู่รอดในระยะยาวคือบริษัทที่รู้จักสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแนวคิดของผู้คน พร้อมกับสร้างความประทับให้ผู้บริโภคแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

Ebert ไม่ได้มโนมาเองนะเรื่องนี้ เพราะ ‘McKinsey’ หนึ่งในบริษัทให้คำปรึกษาชั้นนำระดับโลกพบว่า องค์กรที่ฝังค่านิยมด้านการสร้างนวัตกรรมไปในวัฒนธรรมการทำงาน มีแนวโน้มจะทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งถึง 3.5 เท่า

ถ้าคุณยังไม่เชื่ออีก มาดูกรณีศึกษาในโลกแห่งความเป็นจริงของธุรกิจที่ต้องเจ๊ง เพราะไม่รู้จักหาความสดใหม่ให้ตนเองบ้างกัน

เช่น ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 คนอเมริกันหลายคนคงรู้จัก ‘Blockbuster’ เป็นอย่างดี เพราะมันคือธุรกิจให้เช่าซีดีชื่อดังที่สร้างกำไรได้มากมาย พร้อมฐานลูกค้าที่ใหญ่มากๆ แต่สิ่งที่พวกเขาขาดคือ ‘วิสัยทัศน์’ ในการเป็นผู้นำสร้างความเปลี่ยนแปลง

แล้วเป็นยังไงล่ะตอนนี้? พอ Blockbuster ไม่คว้าโอกาสในการเพิ่มมูลค่าใหม่ๆ ให้ผู้บริโภค ‘Netflix’ ก็มารับจบหน้าที่นั้นแทน จนประสบความสำเร็จมาถึงปัจจุบัน

ความคิดสร้างสรรค์แบบนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นแค่กับมนุษย์เท่านั้น ส่วน AI น่ะหรอ? อย่าหวังเลย ดั่งที่นักวิจัยท่านหนึ่งเคยพูดไว้ว่า “AI ก็ทำได้แค่ผลิตความคิดสร้างสรรค์แบบปลอมๆ”

เอาง่ายๆ คือ AI สามารถเป็นผู้ช่วยที่ดีของมนุษย์ได้นะ แต่คงไม่สามารถมาแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ที่แต่ละคนคิดค้นขึ้นมา

“ถ้ากลยุทธ์ของคุณคือการไล่คนที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่ออกไป ก็ขอให้โชคดีนะ คุณอาจบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จริง อย่างน้อยๆ ก็ในระยะสั้น แต่อย่าตกใจไปล่ะ ถ้าจู่ๆ แผนพัฒนาสินค้าของคุณล้มเหลวขึ้นมา” Ebert กล่าว

AI ช่วยให้คนรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้นะ แต่แค่ลำพังตัวมันเอง ทำคนเดียวไม่ได้หรอก

AI, Technology

แล้วยังไง? จะไม่ให้ใช้ AI กันเลยหรือ? 

คำตอบคือไม่ใช่นะ เพราะ Ebert มองว่า AI ก็มีประโยชน์จริงๆ แต่ต้องใช้งานมันควบคู่ไปกับการรักษาบุคลากรเก่งๆ ของพวกคุณไว้ด้วย

ลองให้พนักงานใช้เวลากับ AI ดู เผื่อว่าพวกเขา รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ จะสามารถทำงานกันเป็นทีม แล้วคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาได้

อย่าง ‘Gmail’ กับ ‘Adsense’ ของ Google ก็เริ่มจากการเป็นแค่โปรเจกต์เล็กๆ ที่พนักงานคิดได้ตอนมีเวลาว่างมากพอในการสำรวจสิ่งต่างๆ นี่ล่ะ

ถ้าก่อนหน้านั้น Google เลย์ออฟพนักงานเซ็ตนี้ออกไป เราอาจไม่มี Gmail ใช้กันเหมือนปัจจุบันก็ได้นะ

สรุปแล้ว Ebert ไม่ได้อยากให้ทุกคนเลิกใช้ AI หรอก เพราะมันก็เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีของมนุษย์เลย แต่เธอแค่ไม่อยากให้บริษัทหลายๆ แห่งมองแค่ระยะสั้น แล้วนำปัญญาประดิษฐ์มาอ้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยไม่คิดนวัตกรรมเลยด้วยซ้ำต่างหาก

เอาจริงๆ ส่วนหนึ่งที่ AI มันแมสมากๆ ก็คงเป็นเพราะกระแสกับสื่อด้วย แต่อย่าลืมนะว่า ถ้าทุกอย่างที่สื่อพูดแล้วมันเป็นจริง ทุกวันนี้ เราคงเดินทางไปทำงานด้วยเจ็ตแพ็กไม่ก็รถบินได้ ดังที่นิตยสารในยุค 1950-1960 คาดไว้แล้วล่ะ

AI ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่ และระบบการทำงานของแต่ละองค์กรก็มีความซับซ้อนต่างกันไป

Ebert จึงเชื่อว่า บริษัทไหนที่เลย์ออฟพนักงานในวันนี้ คงต้องไปตามง้อบุคลากรเหล่านั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หลังค้นพบอย่างถ่องแท้แล้วว่า ไอ้เจ้าเทคที่เราไปตั้งความหวังไว้ มันทำไม่ได้อย่างที่คิดเลย

เพราะบางทีบริษัทที่ประสบความสำเร็จและแซงหน้าคนอื่นได้ อาจไม่ใช่บริษัทที่ลดต้นทุนได้มากที่สุด แต่เป็นองค์กรที่รักษาบุคลากรไว้ถูกคน พร้อมสร้างเวทีให้พวกเขา และรู้จักนำ AI มาช่วยผลักดันความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานต่างหาก

ถ้าการใช้ AI อย่างเดียว จะทำให้บริษัทเป็นผู้นำตลาดได้ เช่นนั้น ในอีกไม่กี่ปี เราคงมีผู้นำเต็มไปหมด และหากทุกคนคือผู้นำ แล้วใครกันแน่คือผู้ชนะ?

ที่มา: Fortune

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา