สถาบันวิจัยในฟินแลนด์คิดค้น “กาแฟจากแล็บ” ลดการใช้ที่ดิน ลดก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ แก้ไขปัญหาโลกร้อน สร้างทางเลือกใหม่ให้ธุรกิจเกษตรและอาหาร
วิกฤติสภาพอากาศทำให้อุตสาหกรรมอาหารที่เป็นทั้งผู้ก่อและผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งธุรกิจและหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐต่างเสาะหาวิธีการผลิตอาหารในรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
นักวิจัยผุดไอเดียกาแฟจากแล็บ ไม่ต้องทำไร่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิม
ล่าสุด ผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่มีการรายงานว่ามีความคืบหน้าในการวิจัยคือ กาแฟจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในแล็บ โดย VTT Technical Research Center of Finland สถาบันวิจัยด้านเทคโนโลยีของฟินแลนด์
กาแฟจากแล็บของ VTT ทำขึ้นโดยการเพาะเลี้ยงเซลล์หรือเนื้อเยื่อของกาแฟในอาหารเลี้ยงเชื้อ หลังจากกาแฟถูกเพาะเลี้ยงอย่างเหมาะสมก็จะเข้าสู่กระบวนการคั่วและทดสอบโดยนักประเมินคุณภาพอาหารของ VTT ต่อไป
Heiko Rischer หัวหน้าทีมวิจัยประเมินว่า กาแฟจากแล็บของ VTT น่าจะได้รับการรับรองทางกฎหมายในยุโรปและสหรัฐฯ ให้สามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ภายในอีก 4 ปีข้างหน้า
ต้องบอกก่อนว่าการผลิตกาแฟจากแล็บยังมีช่องว่างให้พัฒนาอยู่เพราะล่าสุดรสชาติของกาแฟจากแล็บยังไม่ได้เหมือนกับกาแฟทั่วไปเสียที่เดียวสำหรับกาแฟจากแล็บล็อตแรกๆ โดย Heiko Rischer ระบุว่า “ถ้าจะให้อธิบายรสชาติมันก็พูดยาก แต่สำหรับผมรสชาติของมันยังอยู่กึ่งกลางระหว่างกาแฟและชาดำ”
“แต่จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ระดับของคั่วด้วย กาแฟตัวนี้ค่อนไปทางการคั่วแบบอ่อนจึงให้สัมผัสที่ค่อนไปทางคล้ายๆ ชาอยู่หน่อยๆ” Rischer เสริม
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยังไม่สามารถกลืนกาแฟจากแล็บได้เพราะผลผลิตจากนวัตกรรมด้านการเกษตรชนิดนี้ยังไม่ได้รับการรับรองให้สามารถบริโภคได้ในวงกว้างจึงต้องอาศัยการชิมและบ้วนทิ้งเท่านั้น
โลกร้อน ปลุกกระแสธุรกิจอาหารทางเลือก
การพัฒนานวัตกรรมด้านการเกษตรแบบใหม่จะช่วยแก้ปัญหา 2 อย่างคือ
- ช่วยลดความรุนแรงของวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดขึ้นจากการทำการเกษตรเชิงพาณิชย์
- พัฒนาวิธีการใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมเกษตร ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เพราะการเพาะปลูกกาแฟ (และเกษตรกรรมดั้งเดิมรูปแบบอื่น) ทั้งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในเวลาเดียวกัน
งานวิจัยจากวารสาร Nature ระบุว่า รูปแบบการบริโภคสมัยใหม่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศกำลังพัฒนา การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และในขณะเดียวกันผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ย้อนกลับมาทำร้ายธุรกิจด้านการเกษตรเอง เพราะสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น อากาศหนาว ความแห้งแล้ง ไปจนถึงภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วม ทำเกิดความยากลำบากให้กับการทำเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมเพราะส่งผลให้ฤดูกาลการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเปลี่ยนแปลงหรือผลผลิตลดลง
เช่น ในปีนี้ราคาเมล็ดกาแฟดิบพุ่งขึ้นถึง 30% สูงที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี เพราะประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อย่างบราซิลและโคลอมเบียต้องเผชิญภัยแล้งที่หนักที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศจนทำให้ผลผลิตขาดแคลน
และมีการศึกษาชี้ว่าสถานการณ์อาจร้ายแรงถึงขั้นที่ พื้นที่เพาะปลูกกาแฟกว่าครึ่งจะเพาะปลูกไม่ได้อีกต่อไปภายในปี 2050 หากรูปแบบการผลิตและการบริโภคยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
สรุป
เรียกได้ว่าเรื่องของภูมิอากาศทำให้อุตสาหกรรมด้านการเกษตรและอาหารต้องหันกลับมาทบทวนวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมและพยายามแสวงหาวิธีการผลิตอาหารรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น
ปัจจุบันเราจะได้เห็นทั้ง เนื้อจากพืช เนื้อปลาจากแล็บ เนื้อจากรา เนื้อวากิวจากเครื่องพิมพ์ 3D และคราวนี้ก็เป็นคราวของกาแฟจากแล็บ ส่วนในฝั่งของผู้บริโภค ตอนนี้ การบริโภคเนื้อสัตว์ลดลงเกือบ 1 ใน 5 ในอังกฤษ ชัดเจนว่าความเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร
โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การลดผลกระทบของวิกฤติภูมิอากาศให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ที่มา – The Guardian, VTT
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา